สุริยา เผือกพันธ์ เขียน
“ตารางเรียนที่จัดในแต่ละวันเป็นตารางเรียนของคนที่อ่านหนังสือออกเขียนหนังสือได้
เด็กที่มีปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้จึงไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือทันเพื่อน”
คำสำคัญ
:
ครูพกพา (Portable Teachers), การเรียนรู้เคลื่อนที่ (Mobile Learning) การอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ (Illiteracy) ระบบนิเวศน์ทางการศึกษา, (Educational Ecology), ห่วงโซ่ความรู้
(Knowledge Chain)
การแห้งขอดของลำธารที่เคยชุ่มเย็นด้วยสายน้ำ
ทำให้ฝูงสรรพสัตว์ในผืนป่าต้องอพยพไปยังแหล่งน้ำที่ยังพอเหลือให้ได้ดื่มกิน เกิดเป็นชุมชนแห่งใหม่ที่หนาแน่นและมีการจัดระเบียบความสัมพันธ์ของชีวิตเป็นระบบนิเวศน์
(Ecology) ใหม่ ที่เต็มไปด้วยการต่อสู้แย่งชิงเพื่อความอยู่รอด ห่วงโซ่อาหาร (Food
Chain) อาจแปรเปลี่ยนไปตามระบบความสัมพันธ์แบบใหม่ด้วย
ระบบการศึกษามีปรากฏการณ์คล้ายกันกับการเกิดระบบนิเวศน์ใหม่ในถิ่นทุรกันดาร
ประชากรในวัยเรียนต่างอาศัยเส้นทางคมนาคมที่มีความสะดวกเพิ่มขึ้น
ใช้เป็นเส้นทางอพยพโดยมีรถยนต์ลำเลียงออกมาจากหมู่บ้านต่าง ๆ ที่กระจายตัวอยู่รอบเมือง
เข้าไปออกันแน่นในโรงเรียนไม่กี่แห่ง ทำให้โรงเรียนในเมืองมีจำนวนนักเรียนหนาแน่น
เกิดเป็นชุมชนใหม่ที่มีปัญหาต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ที่เป็นปัญหามากก็คือ การอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
(Illiteracy) ทำให้เกิดระบบนิเวศน์ทางการศึกษา (Educational Ecology) ใหม่ ที่มีห่วงโซ่ความรู้ (Knowledge Chain)
ใหม่เกิดขึ้นด้วย
ครูพกพา (Portable
Teachers) เกิดขึ้นเพราะครูประจำการไม่สามารถใช้เวลาในตารางเรียนปกติมาทำการสอนเด็กนักเรียนที่มีปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เนื่องจากตารางเรียนที่จัดในแต่ละวันเป็นตารางเรียนของคนที่อ่านหนังสือออกเขียนหนังสือได้
เด็กที่มีปัญหาเหล่านั้นจึงไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือทันเพื่อน
จำเป็นที่ครูจะต้องหยุดกักขังตนเองไว้ในตารางเรียน
แล้วมาจัดความสัมพันธ์แบบใหม่กับนักเรียนที่มีปัญหาในเวลานอกตารางเรียน เช่น
ก่อนเข้าเรียนตอนเช้า หลังอาหารเที่ยงหรือหลังเลิกเรียนเป็นต้น
สถานที่พบกันอาจเป็นที่ต่าง ๆ ที่ครูกับนักเรียนคิดว่าเหมาะสมกับการเรียนการเรียนรู้แบบเคลื่อนที่
(Mobile Learning)
และนี่เป็นกรณีศึกษา (Case
Study) สำหรับการจัดระบบนิเวศน์ทางการศึกษา (Educational
Ecology) ใหม่ ที่มีห่วงโซ่ความรู้ (Knowledge Chain) ใหม่เกิดขึ้นด้วย โดยครูพกพา (Portable Teachers) ที่โรงเรียนบำรุงวิทยา
อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์
การใหลบ่าของนักเรียนจากหมู่บ้านต่าง
ๆ เข้ามาเรียนในเมืองทำให้โรงเรียนกลายเป็นชุมชนที่มีอาการเจ็บป่วยเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี
อาการเจ็บป่วยเหล่านี้คือ การอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ (Illiteracy) อันเป็นทักษะพื้นฐานของนักเรียนที่จะต้องมีเพื่อขยายการเรียนรู้ไปสู่สาขาวิชาต่าง
ๆ ปัจจุบันในภาพรวมระดับประเทศได้กลายเป็นปัญหาของชาติไปแล้ว
จนกระทั่งกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศเป็นนโยบาย “นักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ต้องไม่มี”
ในที่สุด
ก่อนการเปลี่ยนแปลงคณะรัฐบาลในสมัยนางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายจตุรนต์ ฉายแสงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ
เรื่อง ปฏิรูปการศึกษาภารกิจที่ท้าทายในประเด็น
การจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยไว้ว่า
ผลการสแกนการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนชั้น ป. 3 และ
ป. 6 ในสังกัด สพฐ. ทั่วประเทศกว่า 8 แสนคนพบว่า
มีนักเรียนชั้น ป. 3 ที่อ่านไม่ได้ 27,000 คน ส่วนนักเรียนชั้น ป. 6 ที่อ่านไม่ได้ 7,880
คนและอ่านได้แต่อยู่ในระดับควรปรับปรุง 6,750 คน
ซึ่งวิชาภาษาไทยมีความสำคัญที่สุด
เพราะหากอ่านไม่ออกก็จะเรียนวิชาอื่นไม่รู้เรื่อง
นอกจากนี้
ยังได้เสนอแนะการปรับปรุงการเรียนการสอนภาษาไทยหลายรูปแบบ เช่น จัดเรียนแบบ ติวเข้ม เพิ่มชั่วโมง แยกเด็กอ่อนเรียนต่างหาก
โดยเรียนเฉพาะวิชาภาษาไทยในครึ่งวันเช้าหรือบางโรงเรียนเรียนทั้งวัน
จะด้วยกลวิธีอย่างไรก็ตาม
ระบบโรงเรียนมีการจัดตารางเรียนตามโครงสร้างของหลักสูตร
ตั้งแต่เช้าจรดเย็นและเป็นตารางเรียนสำหรับคนอ่านออกเขียนได้ พื้นที่ของคนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้จึงไม่เหลือไว้ให้
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดครูพกพา (Portable Teachers) ขึ้น
การเกิดขึ้นของครูพกพา ไม่ต่างอะไรกับการเกิดขึ้นของวิทยุพกพา (Portable
Radio) ที่มาพร้อมกับความนิยมในเพลงร็อคแอนด์โรล (Rock and Roll) ของคนร่วมสมัย ที่แหวกกฏเกณฑ์ของนักฟังเพลงที่มีข้อจำกัดจากวิทยุในบ้านไปเป็นการฟังได้ทุกที่ทุกเวลา
ครูพกพาก็มาพร้อมกับปัญหาของนักเรียนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แต่ถูกจำกัดพื้นที่ด้วยตารางเรียนในแต่ละวันเช่นกัน
โดยครูใช้แวลาก่อนเข้าเรียนในตอนเช้า หลังอาหารเที่ยงและหลังเลิกเรียนมาทำการสอนนักเรียน
ซึ่งทั้งหมดเป็นเวลานอกตารางเรียนปกติ
สถานที่ก็กำหนดขึ้นเองตามความเหมาะสมของการทำกิจกรรมการเรียนการสอน
และแน่นอนที่สุดว่า ครูที่สอนก็ไม่จำกัดเฉพาะครูวิชาภาษาไทยเท่านั้น
ระบบที่ครูพกพาใช้ในการทำงานคือ ระบบที่มีขั้นตอน
โดยเริ่มจากการคัดกรองนักเรียนที่มีปัญหาในการอ่าน
วิเคราะห์เพื่อคัดแยกนักเรียนออกเป็นกลุ่มตามความรุนแรงของอาการ
ใช้สื่อนวัตกรรมพัฒนาตามสภาพปัญหา เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ผล
สรุปและรายงานผลการดำเนินงานและเผยแพร่ในที่สุด
จากการคัดกรองนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่
1
- 6 ในภาคเรียนที่
1 ปีการศึกษา 2557 พบว่า
ในจำนวนนักเรียน 995 คน
มีนักเรียนที่มีปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ถึง 429 คน
คิดเป็นร้อยละ 43.11 โดยนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
มีจำนวนมากที่สุดคือ 183 คน คิดเป็นร้อยละ 100
ส่วนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 125
คน ไม่มีปัญหาทั้งหมดคิดเป็นร้อยละ 100
นักเรียนที่มีปัญหาในการอ่าน
แบ่งออกเป็นกลุ่มตามอาการ ได้ดังนี้
ระดับที่ 1 ระดับที่อ่านพยัญชนะ
สระและอ่านแจกลูก สะกดคำตามมาตราตัวสะกดพื้นฐานได้ ใช้แบบอ่านชุดที่ 1 แบบฝึกการอ่านและสะกดคำพื้นฐานเป็นสื่อนวัตกรรม
ระดับที่ 2 ระดับที่สามารถอ่านแจกลูกสะกดคำตามมาตราตัวสะกดพื้นฐานและผันวรรณยุกต์ได้
ใช้แบบอ่านชุดที่ 2 แบบฝึกการอ่านและผันวรรณยุกต์เป็นสื่อนวัตกรรม
ระดับที่ 3 ระดับที่สามารถอ่านคำยากที่ประกอบด้วยการอ่านและเขียนคำที่สะกดไม่ตรงตามตัวสะกด
การอ่านและเขียนคำที่ไม่ประวิสรรชนีย์ การอ่านและเขียนคำที่มีตัวการันต์
การอ่านและเขียนคำที่มีอักษรนำ การอ่านและเขียนคำควบกล้ำ ฯลฯ ใช้แบบอ่านชุดที่ 3 แบบฝึกการอ่านและเขียนคำยากเป็นสื่อนวัตกรรม
การดำเนินการจัดการเรียนรู้แบบเคลื่อนที่ (Mobile
Learning) เริ่มตันเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน 2557
ได้มีการสรุปเปรียบเทียบผลการพัฒนาระหว่างก่อนเข้าโครงการและหลังเข้าโครงการพบว่า
จำนวนนักเรียนที่มีปัญหา 429 คนคิดเป็นร้อยละ 43.11 ได้รับการพัฒนาจนอ่านออกเขียนได้เป็นส่วนใหญ่
ยังเหลือที่เป็นปัญหาให้ได้แก้ไขต่อไปอีกเพียง 17 คนคิดเป็นร้อยละ
1.70 ในจำนวนนี้เป็นเด็กพิเศษและเด็กที่มีความบกพร่องต่าง ๆ
ที่จะต้องใช้วิธีการเฉพาะเพื่อแก้ไขในโอกาสต่อไป
บนพื้นที่ของการคิดใหม่ทำใหม่ (Rethinking
and Redoing) ที่เป็นงานสร้างสรรค์ (Creative Work) ต้องการความรู้ ทักษะและแรงบันดาลใจใหม่ ๆ สิ่งเหล่านี้ จะไม่เกิดขึ้นเลยในวัฒนธรรมการทำงานแบบซ้ำ
ๆ เดิม ๆ (Routine Work) โรงเรียนที่มีรูปแบบการสอนอยู่กับประเพณีนิยม
ส่วนใหญ่จึงอยู่ในประเทศพัฒนาน้อย (Less Developed Countries)
ต่างกับโรงเรียนในประเทศที่พัฒนาแล้ว (More Developed Countries) ที่มีวัฒนธรรมการทำงานอยู่บนพื้นฐานการออกแบบ (Design) การวิจัย (Research) และการพัฒนา (Development) อยู่ตลอดเวลา
และที่สำคัญยิ่งกว่าคือ
จิตใจที่เสียสละของครูที่ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงเท่าที่เคยมีเคยทำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น