Comeron Pipkin : เขียน
สุริยา
เผือกพันธ์ : แปลและเรียบเรียง
“เด็กทุกคนต้องปฏิบัติเหมือนกันหมดราวกับว่า
ทุกคนมีรูปแบบหรือวิธีการเรียนรู้เหมือนกัน มีอัตราการเรียนรู้เท่ากัน
ใครเป็นผู้กำหนดไว้เช่นนั้น ทำกันมาตั้งแต่สมัยไหน
กี่ร้อยปีมาแล้วและทำไมต้องทำเช่นนั้น ผลที่ได้เป็นอย่างไร” (ธงชัย ชิวปรีชา)
คำสำคัญ : การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
(Student – Centered Learning), วิธีการเรียน (Pacing), การให้คะแนน (Grading) และตารางเรียน (Scheduling)
การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนแสวงหาวิธีการเรียนรู้ด้วยตนเองและผู้บริหารโรงเรียนต้องให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเลือกเรียนและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยืดหยุ่นเพื่อสนับสนุนให้การเรียนรู้ของผู้เรียนสัมฤทธิ์ผล
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจเป็นพลังผลักดันให้ผู้บริหารโรงเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานได้กลับมาหวนคิดเกี่ยวกับนโยบายใหม่
ด้วยการสอบถามตัวเองว่า มีนโยบายอะไรที่จะอำนวยความสะดวกหรือใช้เป็นแนวทางใหม่ในการสอนแบบนี้หรือไม่
นี่คือ
สามนโยบายหลักในการเปลี่ยนแปลงที่สามารถสนับสนุนสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
1.
วิธีการเรียน
เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้แบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางอย่างเต็มที่
โรงเรียนและหน่วยงาน
ทางการศึกษา ต้องสนับสนุนให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียน
โดยสามารถเรียนข้ามชั้นได้ ไม่ยึดติดอยู่กับรูปแบบที่ตายตัวของโรงเรียน
แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขาอยากเรียนรู้
ผู้บริหารโรงเรียนสามารถนำวิธีการใหม่ที่ท้าทายนี้ไปใช้ได้หลาย
ๆ ทาง บางครั้งอาจใช้กับนักเรียนในระดับชั้นเดียวกัน ขณะที่คนอื่น ๆ
อาจรักษาวิธีการแบบดั้งเดิมอยู่ แต่บางคนอาจเรียนในสิ่งที่เขาสนใจ ไปพร้อม ๆ กันในชั้นเรียนเดียวกันนั้น
เนื้อหาบางอย่างนักเรียนหลายคนมีความพร้อมแล้ว เขาไม่ต้องรอเวลาที่จะต้องเรียนพร้อมกับเพื่อนในหัวข้อดังกล่าว
ตัวอย่างเช่น สมมุติว่านักเรียนในเกรดสาม
เรียนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับเกรดสี่ แต่เรียนการอ่านอยู่ในระดับเกรดสอง ด้วยในห้องเรียนแบบดั้งเดิม
นักเรียนอาจมีความเบื่อหน่ายในเรื่องที่เขามีความรู้แล้ว
จึงอยากจะเรียนในเรื่องที่เขาสนใจ โดยไปเรียนร่วมในระดับเกรดสี่ แต่ถ้าเขารู้สึกบกพร่องในการอ่าน
ซึ่งทำให้ลำบากในการเรียนในเนื้อหาต่าง ๆ
เขาอาจต้องไปเรียนร่วมกับนักเรียนในระดับที่ต่ำกว่า เป็นต้น
ในสิ่งแวดล้อมที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
นักเรียนสามารถเรียนรู้ในระดับเกรดสี่ในวิชาคณิตศาสตร์และเมื่อเขาพร้อมที่จะเรียนต่อไป
เขาก็สามารถที่จะก้าวไปเรียนในระดับเกรดห้าในวิชาเดียวกันนี้ได้เลยหรือไม่ก็ในช่วงกลางปี
ในขณะเดียวกันกับที่ผู้เรียนคนเดียวกันนี้ก็สามารถที่จะไปเรียนการอ่านในเกรดสองได้
แม้ว่าจะต้องเพิ่มเวลาในการฝึกหัดทักษะและทำความเร็วในการยกระดับการเรียนรู้ไปสู่มาตรฐานของระดับนั้น
ๆ ก็ตาม
“เราอยากเห็นผู้เรียน
เป็นอย่างนั้นและก้าวหน้าด้วยวิธีการแบบนั้น” ราเชล เธอร์เนอร์ (Rachael Turner)
ผู้จัดการเครือข่ายการเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาโรงเรียนกล่าว
2.
การให้คะแนน
การเปลี่ยนแปลงในวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียน
ต้องการการเปลี่ยนแปลงในการให้ระดับคะแนน
ผู้เรียนด้วย
ตัวอย่าง เช่น
ถ้านักเรียนทำงานเสร็จด้วยวิธีการของพวกเขา จะมีผลสะท้อนต่อระบบการให้ระดับคะแนนของเราอย่างไร
ถ้านักเรียนไม่มีคะแนนในวิชาคณิตศาสตร์ตอนสิ้นปี แน่นอนว่าเขาสอบตกแน่นอน
แต่หลาย ๆ โรงเรียนที่มีการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงการให้คะแนนแบบดั้งเดิมที่เป็นตัวเลข
ไปสู่การให้คะแนนแบบยึดมาตรฐานเป็นหลัก โดยเฉพาะโรงเรียนระดับประถมศึกษา ในระบบเช่นนี้ จะมีรายงานผลการเรียนของผู้เรียนที่แสดงให้เห็นว่า
นักเรียนเก่งขึ้น หรือไม่ก็บรรลุผลการเรียนตามมาตรฐานของแต่ละคน
วิธีการนี้ได้ผลดีเพราะสนับสนุนสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
“ถ้าเราเคยให้ระดับคะแนนนักเรียนในชั้นเด็กเล็ก” พวกเราเคยพิจารณาเอาวิธีการนั้นไปใช้ในชั้นเรียนที่สูงขึ้นหรือไม่
เช่น ในระดับชั้นที่ 5 6 7 หรือ 8 เธอร์เนอร์ถาม
ในระดับชั้นมัธยมศึกษา โรงเรียนต่าง ๆ
ยังคงใช้ระดับคะแนนที่เป็นตัวเลขหรือการคำนวณระดับคะแนนเฉลี่ยให้นักเรียน
ในระดับวิทยาลัยอาจใช้วิธีการผสมผสาน ระหว่างแนวคิดที่ใช้มาตรฐานเป็นฐานกับการให้ระดับคะแนนที่เป็นตัวเลข
เช่น ประเมินผลผ่านร้อยละ 70 ของจุดประสงค์ ให้ระดับคะแนน
C ถ้าผ่านร้อยละ 80 ให้ระดับคะแนน B เป็นต้น
3.
ตารางเรียน
การให้นักเรียนเป็นเจ้าของการเรียนรู้เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุน
ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง วิธีหนึ่งในการดำเนินการคือ
ให้ผู้เรียนมีอิสระในการตัดสินใจว่า อะไรคือสิ่งที่พวกเขาต้องการเรียนและเมื่อใดที่พวกเขาต้องการเรียน
พวกเขาสามารถเลือกรายวิชาในหลักสูตรได้ตลอดเวลา
โรงเรียนมัธยมศึกษาบางแห่งที่มีความก้าวหน้า
นักเรียนจะรู้ว่าพวกเขาต้องทำหน่วยกิตในการเรียนเทอมแรกเท่าใดและที่เหลือปลายปีอีกเท่าใด
พวกเขาอาจเลือกเรียนให้จบในวิชา แองจิบาภายในสองสามสัปดาห์แรกของภาคเรียน
โดยเน้นเฉพาะวิชานี้วิชาเดียวและเรียนภาษาอังกฤษแบบเดียวกันนี้ ในเวลาสองสามสัปดาห์ถัดไป
หรือพวกเขาสามารถใช้วิธีเรียนแบบคู่ขนานไปกับการเรียนแบบดั้งเดิมได้ โดยใช้เวลาเรียนในแต่ละวัน
วันละหนึ่งชั่วโมง
“พวกเราชอบเปรียบเทียบว่าในชีวิตจริงของผู้ใหญ่”
เธอร์เนอร์ให้ข้อสังเกต
“บางคนคอยไปทำความสะอาดทุกอย่างในวันอาทิตย์
ขณะที่คนอื่น ๆ เลือกซักผ้าทีละเล็กทีละน้อยตลอดสัปดาห์” แล้วแต่ว่า
วิธีไหนเป็นวิธีที่ดีที่สุดของแต่ละคนและเราต้องการประยุกต์สิ่งนี้กับนักเรียน โดยพิจารณาว่าอะไรคือ
วิธีที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา และพวกเขาเรียนรู้ได้ดีที่สุดอย่างไร
วิธีการนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ในการพิจารณาว่า
อะไรคือวิธีที่ดีที่สุดของแต่ละคน ที่ควรนำไปสู่การตัดสินใจในการเปลี่ยนแปลงไปสู่วิธีการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ถ้าผู้นำสามารถบริหารจัดการเรื่องนี้ได้เสียแต่ทีแรกก็จะนำไปสู่การจัดการเรื่องวิธีการเรียน
การให้คะแนนและการทำตารางเรียนในโรงเรียนอย่างง่ายดาย
Cameron Pipkin is a Senior
Marketing Strategist at School Improvement Network and former teacher. He's
driven by a passion to help educators master their craft and improve the lives
of their students.
https://www.edsurge.com/n/2015-05-05-three-key-policy-changes-to-support-student-centered-learning
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น