วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ (Active Knowledge)



                                                                                                                          สุริยา เผือกพันธ์ : เขียน

“ในเวลาที่ผ่านมา เราเคยได้รับความรู้อย่างไร โดยทั่วไปความรู้ที่ได้รับเป็นความรู้มาจากข้างบนลงล่าง (Top-down knowledge) มากกว่าความรู้ที่มาจากด้านข้าง (Horizontal knowledge) หรือแนวขนาน (Lateral knowledge) ตัวอย่างเช่น จากสื่อ (Media) จาก Encyclopedia Britannica.ซึ่งเขียนมานานนับศตวรรษหรือมากกว่านั้น จากผู้รู้”

คำสำคัญ  (Keywords): ความรู้ประดิษฐ์ (Knowledge Artifact), ความรู้มาจากข้างบนลงล่าง (Top-down knowledge), ความรู้ที่มาจากด้านข้าง (Horizontal knowledge), การเรียนด้วยการปฏิบัติ (Learning by doing)

เรื่องราวต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลงในความหมายทางการศึกษา ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน อันเป็นประวัติศาสตร์ของการศึกษาแบบดั้งเดิม

                การศึกษาแบบดั้งเดิมเน้นเรื่องความจำมายาวนาน เราสามารถคิดหรือทำซ้ำในสิ่งที่เคยเรียนมาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับคำนิยาม คำจำกัดความ  หรือเราสามารถประยุกต์ขั้นตอนต่าง ๆได้ก็เพราะเคยเรียนรู้สิ่งนั้นมาแล้วว่าทำอย่างไร เรารู้ข้อมูลข่าวสารทั้งหมดไม่เพียงความจำข้อความสั้น ๆ เท่านั้น แต่ปัจจุบันเรายังสามารถจำข้อความต่าง ๆ ได้เป็นเวลานาน แม้เพียงได้ยินเรื่องนั้น ๆ เพียงไม่กี่นาที



     "ครูโรงเรียนมีชัยพัฒนาประชุมทบทวนกลยุทธ์การสอนการสร้างความรู้ Active Knowledge"

                อย่างไรก็ตาม แม้บางอย่างเราจะลืมหลังวันสอบเสร็จแล้ว แต่เราก็มีความหวังว่าอยากจำให้ได้นานมากไปกว่านั้น อะไรจะทำให้เราทำได้เช่นนั้น (ซึ่งจริง ๆ แล้วมันมีความสำคัญน้อย)  ดังนั้น โดยส่วนตัวแล้ว เราอาจจำหมายเลขโทรศัพท์ของเพื่อน ๆ หรือสมาชิกในครอบครัวได้เป็นร้อยเลขหมาย แต่อาจลืมหมายเลขโทรศัพท์ของลูกชายก็ได้ เหตุเพราะว่าเรามีเครื่องมือจดจำในกระเป๋า สิ่งนั้นคือ โทรศัพท์ เราอาจใช้แผนที่ได้ดี สามารถจดจำเส้นทางในแผนที่ได้ แต่ต่อมาอาจจดจำได้น้อยลงขณะที่ยังสามารถขับรถไปบนเส้นทางได้ทั้งนี้ เพราะเรามีชุดความจำที่เรียกว่า GPS ไว้ใช้

ดังนั้น ในโลกปัจจุบันนี้การใช้ความจำมีค่าน้อยลง เพราะเรามีเทคโนโลยีมาใช้แทน ซึ่งมีสารสนเทศจำนวนมากไว้ใช้อย่างสะดวกสบายตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในคอมพิวเตอร์ อยู่ในโทรศัพท์ของเรา เมื่อเป็นดังนี้ มันจึงควรเป็นสิ่งที่สะดวกสำหรับเราในทุก ๆ นาทีเพื่อการเรียนรู้ เราจะมีวิธีไหนใช้มัน ถ้าไม่เน้นการวัดและประเมินค่าความจำ ในทางการศึกษาเราจะประเมินสิ่งประดิษฐ์ที่เราสร้างขึ้นอย่างไร แทนความจำ ตัวอย่างเช่น รายงานที่แสดงถึงคุณภาพทางสติปัญญา เป็นความรู้ประดิษฐ์ (Knowledge Artifact) ที่อ้างถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ได้

                สิ่งหนึ่งคือ การสอนที่เน้นการสร้างองค์ความรู้ ที่ครูต้องสนใจถึงการเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของการเรียนรู้ที่แท้จริง ไม่ใช่ความจำที่เป็นผลลัพธ์ในการเรียนรู้แบบดั้งเดิม



                  "แหล่งพลังงานแสงอาทิตย์เคลื่อนที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ (Artifact) ด้านพลังงานทดแทน"

                และนั่นคือ สิ่งที่เราจะให้คุณค่าและประเมินจากสิ่งประดิษฐ์ ตัวอย่างเช่น นักเรียนกำลังทำเกี่ยวกับแผนงานโครงการเพื่อพัฒนาโรงเรียนของเขา กิจกรรม/โครงการต่าง ๆ การประดิษฐ์ไฟฉายพลังแสงอาทิตย์โรงเรือนไฮโดรโปรนิค เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต้องจดจำทุกสิ่งได้ เพราะว่าเพียงแค่พวกเขาหยิบมันขึ้นมา ก็สามารถดูรายละเอียดที่เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ได้ โดยไม่มีความจำเป็นต้องจดจำ ทุกอย่าง หากนึกไม่ออก พวกเขาสามารถยกขึ้นมาดูอีกครั้งหนึ่งได้ มันเป็นความสามรถในการผลิตสิ่งประดิษฐ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี รวมทั้งสิ่งที่เป็นรายงานทางวิชาการหรืองานประดิษฐ์อื่น ๆ ด้วย

                สิ่งประดิษฐ์เป็นหลักฐานการเรียนรู้ที่ ไม่ใช่เรื่องของความจำ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกอย่าง ที่เราสนใจจึงเป็นเรื่องของการประเมิน เพราะ การทดสอบเป็นเพียงการวัดความจำไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับทดสอบที่เป็นการประเมินการทำงานที่ทำจริง ๆ

                เราคงเข้าใจถึงการฝึกทำในสิ่งที่เรายังทำไม่เป็น มันมีมายาวนานตั้งแต่ครั้งประวัติศาสตร์ นั่นคือ การเรียนด้วยการปฏิบัติ (Learning by doing) และการเรียนรู้กับคนที่มีความเชี่ยวชาญ แน่ละมันมีทางเดียวที่เราจะรู้ได้คือการซักถามและก็เอาสิ่งนั้นขึ้นมาดู ที่ง่ายที่สุดคือ ดูตัวอย่างเป็นมาตรฐาน  การจัดการศึกษาในปัจจุบันต้องการเรียนเพื่อสร้างความรู้ ไม่เพียงแต่บริโภคอย่างเดียว แล้วนำไปใช้สอบ ความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้  เราจะไม่เริ่มต้นจากมาตรฐานที่กำหนด แต่ต้องเริ่มจากความสนใจของผู้เรียน  สร้างผู้เรียนที่เป็นผู้ผลิตความรู้ เราต้องเปลี่ยนแปลงให้ออกไปจากบริบทเดิมที่ใช้ห้องเรียนเป็นฐานที่มั่น ออกไปเรียนรู้รอบโรงเรียนเพื่อสร้างงาน สร้างความเป็นพลเมืองดี

                การใช้ดิจิตัลเทคโนโลยีมีความสำคัญมาก ที่ต้องใช้ให้มากขึ้น เพราะเป็นองค์กรที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่เพียงแต่ใช้สร้างสรรค์ ให้ความรู้ที่ดีในสาขาวิชาต่าง ๆ แต่เป็นแหล่งที่ผลิตความรู้ให้แก่ผู้เรียนชนิดหนึ่งด้วย ดังนั้น เราจะเข้าไปใช้มันอย่างไร เพื่อจุดประสงค์ใดในห้องเรียน พื้นที่ในโลกดิจิตัลจะเสนอโอกาสให้แก่ทุก ๆ คนเสมอในเวลาเดียวกัน ทุก ๆ คนสามารถใช้เวลาเดียวกันทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือไม่ก็พูดหรือเขียน มันสามารถใช้ทำในสิ่งที่เราต้องการกับสิ่งที่เราใช้ไปพร้อมกัน ทำไมเราจึงอยากใช้มัน แน่ละในแต่ละครั้งที่เราใช้ มันสามารถทำให้เรามีโอกาสในการสร้างสิ่งประดิษฐ์ (Artifacts of that production) และแบ่งปันความรู้มากกว่าแค่ส่งให้ครูตรวจ  สิ่งเหล่านี้จะเป็นไปได้เมื่อเราใช้พื้นที่ดิจิตัลในการทำงานด้วยเครื่องมือต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโลกดิจิตัล ดังกล่าว

                ในเวลาที่ผ่านมา เราเคยได้รับความรู้อย่างไร โดยทั่วไปความรู้ที่ได้รับเป็นความรู้มาจากข้างบนลงล่าง (Top-down knowledge) มากกว่าความรู้ที่มาจากด้านข้าง (Horizontal knowledge) หรือแนวขนาน (Lateral knowledge) ตัวอย่างเช่น จากสื่อ (Media) จาก Encyclopedia Britannica.ซึ่งเขียนมานานนับศตวรรษหรือมากกว่านั้น จากผู้รู้



                               "นักเรียนโรงเรียนมีชัยพัฒนาเรียนรู้เพื่อสร้างงานสร้างงความรู้"

                ปัจจุบันเรามี Wikipedia ที่เขียนโดยคนทั่วโลกอย่างไม่มีวันจบสิ้น เราไม่เคยรู้ว่าคนเขียนเป็นใคร ไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ หรืออาจเป็นเพียงคนเร่ร่อนที่สนใจทำในสิ่งนี้อย่างจริงจังก็ได้

                ดังนั้น ตามแนวความคิดนี้จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่ใช้เป็นกรอบงานของการเรียนรู้การสร้างองค์ความรู้ในโลกที่เราอาศัยอยู่ เราจะทำอะไรกับห้องเรียนของเรา เรากำลังเดินรุดหน้าไป เพื่อไปสู่ห้องเรียนแบบมีส่วนร่วมใช่หรือไม่

                ตัวอย่างของนักเรียนที่กลายมาเป็นผู้ร่วมสร้างความรู้ (Knowledge co-creators) ได้นั้นได้แก่ การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นนอกห้องเรียน ในการเรียนเรื่องภูเขาไฟที่ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก พวกเขาเดินเข้าไปในเส้นทางลาวาเหนือพื้นดิน ที่เป็นอุโมงค์จำนวนมาก แล้วนักเรียนจะเขียนรายงานได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ถ้าพวกเขาได้เดินเข้าไปท่องเที่ยวเก็บข้อมูล ใน Wikipedia ไปด้วย วิธีการที่เป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ ในสถานที่อื่น ๆ พวกเขาก็สามารถที่จะทำชิ้นงานที่เป็นความรู้ในสิ่งที่พวกเขารู้ ได้ดีเช่นกัน ไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของโลก

                พวกเขาจะผลิตความรู้ที่แท้จริงและการผลิตของพวกเขามีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีค่ายิ่งในโลก






1 ความคิดเห็น: