สุริยา เผือกพันธ์ : เขียน
“ในเวลาที่ผ่านมา เราเคยได้รับความรู้อย่างไร โดยทั่วไปความรู้ที่ได้รับเป็นความรู้มาจากข้างบนลงล่าง
(Top-down
knowledge) มากกว่าความรู้ที่มาจากด้านข้าง (Horizontal
knowledge) หรือแนวขนาน (Lateral knowledge)
ตัวอย่างเช่น จากสื่อ (Media) จาก Encyclopedia
Britannica.ซึ่งเขียนมานานนับศตวรรษหรือมากกว่านั้น จากผู้รู้”
คำสำคัญ
(Keywords): ความรู้ประดิษฐ์ (Knowledge
Artifact), ความรู้มาจากข้างบนลงล่าง (Top-down knowledge), ความรู้ที่มาจากด้านข้าง (Horizontal knowledge),
การเรียนด้วยการปฏิบัติ (Learning by doing)
เรื่องราวต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลงในความหมายทางการศึกษา
ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน อันเป็นประวัติศาสตร์ของการศึกษาแบบดั้งเดิม
การศึกษาแบบดั้งเดิมเน้นเรื่องความจำมายาวนาน
เราสามารถคิดหรือทำซ้ำในสิ่งที่เคยเรียนมาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับคำนิยาม
คำจำกัดความ หรือเราสามารถประยุกต์ขั้นตอนต่าง
ๆได้ก็เพราะเคยเรียนรู้สิ่งนั้นมาแล้วว่าทำอย่างไร เรารู้ข้อมูลข่าวสารทั้งหมดไม่เพียงความจำข้อความสั้น
ๆ เท่านั้น แต่ปัจจุบันเรายังสามารถจำข้อความต่าง ๆ ได้เป็นเวลานาน แม้เพียงได้ยินเรื่องนั้น
ๆ เพียงไม่กี่นาที
"ครูโรงเรียนมีชัยพัฒนาประชุมทบทวนกลยุทธ์การสอนการสร้างความรู้ Active Knowledge"
"ครูโรงเรียนมีชัยพัฒนาประชุมทบทวนกลยุทธ์การสอนการสร้างความรู้ Active Knowledge"
อย่างไรก็ตาม แม้บางอย่างเราจะลืมหลังวันสอบเสร็จแล้ว
แต่เราก็มีความหวังว่าอยากจำให้ได้นานมากไปกว่านั้น อะไรจะทำให้เราทำได้เช่นนั้น (ซึ่งจริง
ๆ แล้วมันมีความสำคัญน้อย) ดังนั้น
โดยส่วนตัวแล้ว เราอาจจำหมายเลขโทรศัพท์ของเพื่อน ๆ หรือสมาชิกในครอบครัวได้เป็นร้อยเลขหมาย
แต่อาจลืมหมายเลขโทรศัพท์ของลูกชายก็ได้ เหตุเพราะว่าเรามีเครื่องมือจดจำในกระเป๋า
สิ่งนั้นคือ โทรศัพท์ เราอาจใช้แผนที่ได้ดี สามารถจดจำเส้นทางในแผนที่ได้ แต่ต่อมาอาจจดจำได้น้อยลงขณะที่ยังสามารถขับรถไปบนเส้นทางได้ทั้งนี้
เพราะเรามีชุดความจำที่เรียกว่า GPS ไว้ใช้
ดังนั้น ในโลกปัจจุบันนี้การใช้ความจำมีค่าน้อยลง
เพราะเรามีเทคโนโลยีมาใช้แทน ซึ่งมีสารสนเทศจำนวนมากไว้ใช้อย่างสะดวกสบายตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในคอมพิวเตอร์
อยู่ในโทรศัพท์ของเรา เมื่อเป็นดังนี้ มันจึงควรเป็นสิ่งที่สะดวกสำหรับเราในทุก
ๆ นาทีเพื่อการเรียนรู้ เราจะมีวิธีไหนใช้มัน ถ้าไม่เน้นการวัดและประเมินค่าความจำ
ในทางการศึกษาเราจะประเมินสิ่งประดิษฐ์ที่เราสร้างขึ้นอย่างไร แทนความจำ
ตัวอย่างเช่น รายงานที่แสดงถึงคุณภาพทางสติปัญญา เป็นความรู้ประดิษฐ์ (Knowledge
Artifact) ที่อ้างถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ได้
สิ่งหนึ่งคือ
การสอนที่เน้นการสร้างองค์ความรู้ ที่ครูต้องสนใจถึงการเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของการเรียนรู้ที่แท้จริง
ไม่ใช่ความจำที่เป็นผลลัพธ์ในการเรียนรู้แบบดั้งเดิม
"แหล่งพลังงานแสงอาทิตย์เคลื่อนที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ (Artifact) ด้านพลังงานทดแทน"
"แหล่งพลังงานแสงอาทิตย์เคลื่อนที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ (Artifact) ด้านพลังงานทดแทน"
และนั่นคือ สิ่งที่เราจะให้คุณค่าและประเมินจากสิ่งประดิษฐ์
ตัวอย่างเช่น นักเรียนกำลังทำเกี่ยวกับแผนงานโครงการเพื่อพัฒนาโรงเรียนของเขา
กิจกรรม/โครงการต่าง ๆ การประดิษฐ์ไฟฉายพลังแสงอาทิตย์โรงเรือนไฮโดรโปรนิค เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต้องจดจำทุกสิ่งได้ เพราะว่าเพียงแค่พวกเขาหยิบมันขึ้นมา
ก็สามารถดูรายละเอียดที่เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ได้ โดยไม่มีความจำเป็นต้องจดจำ ทุกอย่าง
หากนึกไม่ออก พวกเขาสามารถยกขึ้นมาดูอีกครั้งหนึ่งได้ มันเป็นความสามรถในการผลิตสิ่งประดิษฐ์
ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี รวมทั้งสิ่งที่เป็นรายงานทางวิชาการหรืองานประดิษฐ์อื่น ๆ ด้วย
สิ่งประดิษฐ์เป็นหลักฐานการเรียนรู้ที่ ไม่ใช่เรื่องของความจำ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกอย่าง ที่เราสนใจจึงเป็นเรื่องของการประเมิน เพราะ การทดสอบเป็นเพียงการวัดความจำไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับทดสอบที่เป็นการประเมินการทำงานที่ทำจริง
ๆ
เราคงเข้าใจถึงการฝึกทำในสิ่งที่เรายังทำไม่เป็น
มันมีมายาวนานตั้งแต่ครั้งประวัติศาสตร์ นั่นคือ การเรียนด้วยการปฏิบัติ (Learning
by doing) และการเรียนรู้กับคนที่มีความเชี่ยวชาญ
แน่ละมันมีทางเดียวที่เราจะรู้ได้คือการซักถามและก็เอาสิ่งนั้นขึ้นมาดู ที่ง่ายที่สุดคือ
ดูตัวอย่างเป็นมาตรฐาน การจัดการศึกษาในปัจจุบันต้องการเรียนเพื่อสร้างความรู้
ไม่เพียงแต่บริโภคอย่างเดียว แล้วนำไปใช้สอบ ความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ เราจะไม่เริ่มต้นจากมาตรฐานที่กำหนด แต่ต้องเริ่มจากความสนใจของผู้เรียน สร้างผู้เรียนที่เป็นผู้ผลิตความรู้
เราต้องเปลี่ยนแปลงให้ออกไปจากบริบทเดิมที่ใช้ห้องเรียนเป็นฐานที่มั่น ออกไปเรียนรู้รอบโรงเรียนเพื่อสร้างงาน สร้างความเป็นพลเมืองดี
การใช้ดิจิตัลเทคโนโลยีมีความสำคัญมาก
ที่ต้องใช้ให้มากขึ้น เพราะเป็นองค์กรที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่เพียงแต่ใช้สร้างสรรค์
ให้ความรู้ที่ดีในสาขาวิชาต่าง ๆ
แต่เป็นแหล่งที่ผลิตความรู้ให้แก่ผู้เรียนชนิดหนึ่งด้วย ดังนั้น
เราจะเข้าไปใช้มันอย่างไร เพื่อจุดประสงค์ใดในห้องเรียน พื้นที่ในโลกดิจิตัลจะเสนอโอกาสให้แก่ทุก
ๆ คนเสมอในเวลาเดียวกัน ทุก ๆ คนสามารถใช้เวลาเดียวกันทำกิจกรรมต่าง ๆ
หรือไม่ก็พูดหรือเขียน มันสามารถใช้ทำในสิ่งที่เราต้องการกับสิ่งที่เราใช้ไปพร้อมกัน
ทำไมเราจึงอยากใช้มัน แน่ละในแต่ละครั้งที่เราใช้ มันสามารถทำให้เรามีโอกาสในการสร้างสิ่งประดิษฐ์ (Artifacts of that
production) และแบ่งปันความรู้มากกว่าแค่ส่งให้ครูตรวจ สิ่งเหล่านี้จะเป็นไปได้เมื่อเราใช้พื้นที่ดิจิตัลในการทำงานด้วยเครื่องมือต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโลกดิจิตัล ดังกล่าว
ในเวลาที่ผ่านมา เราเคยได้รับความรู้อย่างไร
โดยทั่วไปความรู้ที่ได้รับเป็นความรู้มาจากข้างบนลงล่าง (Top-down
knowledge) มากกว่าความรู้ที่มาจากด้านข้าง (Horizontal
knowledge) หรือแนวขนาน (Lateral knowledge)
ตัวอย่างเช่น จากสื่อ (Media) จาก Encyclopedia
Britannica.ซึ่งเขียนมานานนับศตวรรษหรือมากกว่านั้น จากผู้รู้
"นักเรียนโรงเรียนมีชัยพัฒนาเรียนรู้เพื่อสร้างงานสร้างงความรู้"
"นักเรียนโรงเรียนมีชัยพัฒนาเรียนรู้เพื่อสร้างงานสร้างงความรู้"
ปัจจุบันเรามี Wikipedia
ที่เขียนโดยคนทั่วโลกอย่างไม่มีวันจบสิ้น
เราไม่เคยรู้ว่าคนเขียนเป็นใคร ไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือไม่
หรืออาจเป็นเพียงคนเร่ร่อนที่สนใจทำในสิ่งนี้อย่างจริงจังก็ได้
ดังนั้น ตามแนวความคิดนี้จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ที่ใช้เป็นกรอบงานของการเรียนรู้การสร้างองค์ความรู้ในโลกที่เราอาศัยอยู่ เราจะทำอะไรกับห้องเรียนของเรา เรากำลังเดินรุดหน้าไป เพื่อไปสู่ห้องเรียนแบบมีส่วนร่วมใช่หรือไม่
ตัวอย่างของนักเรียนที่กลายมาเป็นผู้ร่วมสร้างความรู้
(Knowledge
co-creators) ได้นั้นได้แก่ การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นนอกห้องเรียน ในการเรียนเรื่องภูเขาไฟที่ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก พวกเขาเดินเข้าไปในเส้นทางลาวาเหนือพื้นดิน ที่เป็นอุโมงค์จำนวนมาก แล้วนักเรียนจะเขียนรายงานได้อย่างยอดเยี่ยมมาก
ถ้าพวกเขาได้เดินเข้าไปท่องเที่ยวเก็บข้อมูล ใน Wikipedia ไปด้วย วิธีการที่เป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ ในสถานที่อื่น ๆ พวกเขาก็สามารถที่จะทำชิ้นงานที่เป็นความรู้ในสิ่งที่พวกเขารู้
ได้ดีเช่นกัน ไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของโลก
พวกเขาจะผลิตความรู้ที่แท้จริงและการผลิตของพวกเขามีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีค่ายิ่งในโลก
ดีค่ะ..อ่านได้ความรู้
ตอบลบ