(ภาพจาก https://www.google.co.th/search?q=Eleanore+Hargreaves)
สุริยา เผือกพันธ์ : แปลและเรียบเรียง
“Clare talks to Dr. Eleanore
Hargreaves : How do we learn ?” - University
of London
เราทุกคนมีวิธีเรียนเหมือนกันหมดใช่ไหม ?
เป็นคำถามที่ชวนสงสัย ดร. อีลีนอร์ ฮาร์กรีพส์
(Eleanore
Hargreaves) แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน (University of London) อธิบายว่า มันขึ้นอยู่กับว่าผู้เรียนมีจุดมุ่งหมายในการเรียนอย่างไร
เรียนเพื่อให้มีความรู้จะเรียนด้วยการย่อยและดูดซับความรู้
จะเรียนรู้ทักษะก็ต้องลงมือทำและฝึกฝน
เรียนเพื่อที่จะเข้าสังคมและเป็นคนมั่งมีก็มีวิธีของมัน เรื่องนี้องค์การยูเนสโก (UNESCO) กล่าวถึงจุดประสงค์ของการเรียนรู้ว่ามี 4 จุดประสงค์คือ
เรียนเพื่อรู้ เรียนเพื่อทำ เรียนเพื่อการมีชีวิตร่วมกันและเรียนเพื่อที่จะเป็น
ถ้าเราต้องการเรียนเพื่อการทำบางอย่าง
อาจใช้วิธีการทำตามบางคนที่ทำสิ่งนั้นได้ดี โดยฝึกฝนทีละเล็กทีละน้อย เรียกว่า Apprentice
model ซึ่งอาจต้องมีการจดจำข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวกับทักษะด้วย
ถ้าต้องการเรียนรู้เพื่อการเป็นคนดี มีความเมตตากรุณา อาจต้องมีวิธีการแบบ Apprentice
model มีการวิพากษ์วิจารณ์ เรียนรู้จากการอ่าน
การประชุมร่วมกับคนเหล่านั้น ศึกษาประวัติของพวกเขา หรือผ่านกิจกรรมการสนทนากับคนที่อยู่รายรอบ
ทำการค้นคว้าและสะท้อนความคิดเห็นจากการปฏิบัติของเราและการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งที่จะต้องใช้ประกอบการเรียนรู้ในแนวนี้
ดังนั้น เมื่อเราเรียนรู้นั้น
จะเรียนด้วยวิธีใดขึ้นอยู่กับว่า เรามีจุดประสงค์ในการเรียนรู้อย่างไร
จุดประสงค์การเรียนรู้ที่ต่างกันทำให้มีการเรียนรู้ที่ต่างกัน เป็นเงื่อนไขเฉพาะที่จำเป็นของการเรียนรู้
และแน่ละมันอยู่ที่ว่าอะไรคือสิ่งที่เราจะเรียนรู้ด้วย
(ภาพจากhttps://www.google.co.th/search?q=Eleanore+Hargreaves)
ดังนั้นรูปแบบ (Model) แรก ถ้าเราอยากจะเรียนรู้การจดจำข้อมูลข่าวสาร
เราต้องมีสถานที่ที่เงียบที่สุด ที่จะทำให้เรามีสมาธิและไม่มีใครมารบกวน
ลักษณะนี้มันเป็นรูปแบบโดยทั่วไปที่เห็นได้ง่าย ๆ
ห้องเรียนแบบนี้รัฐบาลหลายแห่งใช้เป็นสถานที่จัดการเรียนรู้
แต่ถ้าเราอยากจะเรียนรู้เพื่อที่จะเป็นอะไร
หรือการมีชีวิตร่วมกับผู้อื่น แล้วใช้ห้องเรียนแบบที่ว่า
เราจะมีความยากลำบากในการเรียนรู้เพื่อการบรรลุจุดประสงค์เหล่านั้น โดยเฉพาะถ้าเรามาจากวัฒนธรรมที่ต่างกัน
อย่างไรก็ตามการประยุกต์ใช้จุดประสงค์ของการเรียนรู้ทุกรูปแบบมาใช้เพื่อการเรียนรู้
น่าจะทำให้การเรียนรู้ได้ดีขึ้น
โดยทั่วไปเราจะเรียนรู้ได้ดีขึ้น
เมื่อเรามีความสะดวกสบาย มีงานวิจัยในห้องเรียนชาวปาเลสไตน์ (Palestinian
Classroom) 2 กรณีศึกษา พบว่า
เมื่อนักเรียนรู้สึกหวาดกลัว (felt fearful) เป็นที่ประหลาดใจอย่างยิ่งว่า
หลาย ๆ ครั้งเขาจะไม่เปิดใจรับการเรียนรู้ (their minds shut down)
ดังนั้น แม้ว่าเราจะเคยพยายามจดจำบางสิ่ง ถ้าอยู่ในภาวะความกลัว
จะทำให้เรียนรู้ได้ไม่ดี แน่ละถ้าเราอยู่ใกล้คนที่น่ากลัว
การเรียนรู้แบบใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นย่อมไม่ประสบความสำเร็จ
แม้แต่การเยาะเย้ยถากถาง ซึ่งมีอยู่ในโลกของความเป็นจริง
ก็ไม่ช่วยให้ห้องเรียนเป็นสถานที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบการใช้ชีวิตร่วมกันและเรียนรู้เพื่อความรุ่งเรือง
โดยทั่วไปด้านหลักของห้องเรียนชอบความเงียบ (Value
Silence) คนส่วนมากในห้องเรียนจึงเป็นคนเงียบ ๆ บางครั้งการทำตาม
เชื่อฟังก็เป็นค่านิยมด้วย การวิพากษ์วิจารณ์ ความหลากหลาย การคิดด้วยตนเอง
การสร้างสรรค์ ความสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ เป็นข้อจำกัดของการเรียนในห้องเรียนแบบนี้
ในประเทศประชาธิปไตยก็มีห้องเรียนแบบนี้ แบบเผด็จการนิยม
(ภาพจากhttps://www.google.co.th/search?q=Eleanore+Hargreaves)
มีทฤษฎีมากมายที่กล่าวถึงว่า
ทำไมจึงมีห้องเรียนแบบนี้ คนที่เป็นรัฐบาลส่วนใหญ่มาจากคนในสังคมชั้นสูง
พวกเขามีชีวิตที่มั่งคั่ง เป็นคนที่มีอภิสิทธิ์ทางการศึกษา ตัวอย่างมีให้เห็นในโรงเรียนระดับประถมศึกษาของรัฐบาลในบางประเทศ
ผู้นำมีจุดประสงค์ที่จะนำทั้งความคิดและนำชีวิตคนอื่น
ๆ ในระบบโรงเรียนของรัฐบาลที่ไม่ต้องจ่ายเงินมาก
ทำให้คนมีความเชื่อว่า ความยากจนของประชาชนเป็นบาปติดตัวมาแต่กำเนิด (Inherently
evil) พวกเขาต้องเชื่อฟังและทำตามคนชั้นสูง มันง่ายต่อการควบคุม
ดังนั้น โลกแห่งละครหรือชีวิตจริงมันมีอยู่ในระบบโรงเรียน เรามีนักเรียนอย่างน้อย 30
คนต่อห้อง ในหลายประเทศก็เป็นเช่นนี้ จำนวนดังกล่าวมีมากเป็น 2
หรือ 3 เท่าต่อครู 1 คน
ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือ การบังคับให้เชื่อฟังและทำตามครู
ในที่สุด
เราต้องกลับมาคิดใหม่ถึงรูปแบบทั้งหมดว่า ถ้าไม่อยากเป็นเผด็จการจะทำอย่างไร
แน่ละทุกคนเห็นด้วยที่การเรียนรู้จะต้องมีครู
ที่มีอำนาจหน้าที่เป็นที่เคารพของนักเรียน แต่คำถามมีว่า หน้าที่ครูคืออะไร
หลาย ๆ กรณีต้องไปบังคับในสิ่งที่เด็กไม่เลือก
โรงเรียนไม่ได้ถามนักเรียน เกี่ยวกับว่าเขาจะเรียนอะไรและอย่างไร ใครจะสอนพวกเขา
กฎเกณฑ์ ความชอบ การสุ่มถาม ความมีอิสระของครู
เหล่านี้ เป็นอำนาจหน้าที่ของครู ที่จะทำให้ห้องเรียนแบบเผด็จการลดลงไป
อำนาจหน้าที่นี้ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ในทางกฎหมาย แต่เป็นอำนาจหน้าที่ทางสำนึกในวิชาชีพ
ทักษะความชำนาญต่าง ๆ ของครู
ขณะเดียวกัน
นักเรียนก็ต้องมีการพัฒนาอำนาจหน้าที่ของเขาควบคู่ไปด้วย
มีคำที่เหมือนกันที่น่าสนใจมากคือ อำนาจหน้าที่ (Authority) กับความมีอำนาจหน้าที่ (Authorship)
ถ้าเราพัฒนานักเรียนให้พวกเขามีความมีหน้าที่
อำนาจหน้าที่นั้นจะมาถ่วงดุลกับอำนาจหน้าที่ของครูอีกทางหนึ่ง
ปล. Dr. Clare Brooks อาจารย์ผู้สอนในรายวิชา Education in the Future : University of London
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น