วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

ผู้นำที่มีอิทธิพลจะให้ ความหวัง ความเมตตาและความจริงใจ (Resonant Leaders Create experiences of hope, compassion and mindfulness)

(ภาพจาก https://www.google.co.th/search?q=richard+boyatzis&espv)


                                 Richard Boyatzis, PhD. Case Western Reserve University: บรรยาย
                                                                   สุริยา เผือกพันธ์  : ถอดความแปลและเรียบเรียง
                                                                                 
คำสำคัญ : ความหวัง (Hope) ความเมตตากรุณา (Compassion) ความจริงใจ (Mindfulness) ผู้นำที่มีอิทธิพล (Resonant Leaders)

คำถามมีว่า “ผู้นำที่คุณคิดว่าควรจะเป็นหรือคนที่คุณจะร่วมงานด้วย เป็นคนอย่างไร หนึ่ง เป็นคนที่นำคุณไปพบสิ่งที่ดีที่สุด หรือ ทำให้คุณมีความรู้สึกยินดีที่จะร่วมงาน หรือ  เป็นคนที่คุณพยายามหลีกหลบ เป็นคนที่ทำให้ความปรารถนาดีของคุณสูญสลาย หรือเป็นคนที่จะช่วยให้องค์กรพ่ายแพ้ต่อผู้แข่งขัน”

เมื่อคุณอยู่รอบ ๆ พวกเขา คุณจะพูดและทำอะไร พวกเขาทำให้คุณและคนอื่น ๆ มีความรู้สึกอย่างไร

ประมาณ ร้อยละ 50 ของคนที่อยู่ในภาวะผู้นำ ไม่ได้ใช้ค่านิยมอย่างหนึ่งอย่างใดในการบริหาร
อีกร้อยละ 20 – 30 อาจใช้ค่านิยม ตามทัศนะของแต่ละคน
ค่านิยม (Values) เป็นวิธีการที่ผู้นำสามารถนำไปใช้ได้ เพราะร้อยละ 70 – 80 ของการจัดการ ทำให้บทบาทของพวกเขา นำไปสู่หน้าที่ที่เรียบร้อยยิ่งขึ้น
ภาวะผู้นำคือ ความมีปฏิสัมพันธ์
ภาวะผู้นำคือ ความสัมพันธ์ที่มีอิทธิพล  การอยู่ในท่วงทำนองเดียวกันหรือช่วงความยาวคลื่นเดียวกันกับคนอื่น ๆ


                   
                                         Richard Boyatzis, PhD. Case Western Reserve University

                     (ภาพจาก https://www.google.co.th/search?q=richard+boyatzis&espv) 

ผมหวังว่าสิ่งที่เราพูดถึงกันอยู่นี้จะได้รับการตอบสนองจากคนอื่น ๆ ในเร็ววันนี้ ผมมีความรู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ นั่นเป็นเพราะว่า หนึ่งในหลายอย่างที่ผู้นำทำอย่างมีประสิทธิภาพหรือผู้นำที่มีอิทธิพล จะต้องทำคือ ช่วยให้เราเข้าใจบริบทของสิ่งที่เราทำ
พวกเขาก็รู้ว่าผู้ใหญ่ด้วยกันนั้น เราจะไม่เรียนรู้จนกว่าพากเราจะให้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ในบริบทของการทำงาน สิ่งที่ทำให้เป็นผู้นำทำอย่างมีประสิทธิภาพ คือ องค์กรต้องมีจุดประสงค์
มันเป็นเหตุผลหนึ่งว่า  ทำไมคนที่เริ่มบริหารจัดการโดยการใช้เงินเป็นตัวตั้ง  จะไม่สร้างแรงบันดาลใจ และปกติจะไม่มีประสิทธิภาพ เพราะการบริหารจัดการของเขา มันมีความสับสนระหว่าง สิ่งที่เราทำคืออะไรและทำไมเราต้องทำ  จุดประสงค์และการวัด จะทำให้เรารู้ว่า มันดีอย่างไร

แต่หนึ่งในหลายสิ่ง  ที่ผมมีโอกาสไม่มากนักในเวลาที่ผ่านมา ในฐานะเป็น CEO ของบริษัทที่มีเทคโนโลยีต่ำ ได้ร่วมประชุมประจำปีของผู้จัดการยอดเยี่ยม ในฟิลาเดลเฟียจำนวน  350 คน  มันมีค่านิยมหลักที่ใช้กันในองค์กร  มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มหัศจรรย์ เพราะเขาพูดคำว่า ขอบคุณ สวัสดีครับ/ค่ะ  และเขาพูดเรื่องเมืองเล็ก ๆ ในนิวยอร์ค ในเมืองนั้น ปีที่แล้ว ได้ช่วยชีวิตคน 350 ชีวิต ดูแลรักษาคนป่วย 1800 คน ให้รอดด้วยการผ่าตัด มันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้า พวกเขาไม่มี คนอีก  40 คนที่ทำงานเกี่ยวกับออกซิเจนและแก๊ส ในโรงพยาบาล เขายังกล่าวถึงเมืองเล็ก ๆ ทางตะวันตกของเพนซิลวาเนียที่มีผู้คน พ่อแม่ ตื่นขึ้นในตอนเช้า ป้อนข้าวเด็ก ๆ แล้วแต่งตัว และพาพวกเขาไปโรงเรียน ส่วนตัวเองก็แต่งตัวออกไปทำงาน และมันจะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าคนที่ทำงานด้านไฟฟ้าและแก๊สในท้องถิ่น 400 คนไม่ได้ทำงานของเขา ในฐานะที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ คุณสามารถสร้างความรู้สึกบางอย่างขึ้นในห้องนี้แล้วเริ่มต้นทำที่นี่

และนั่น การเริ่มต้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าคนที่ผมกำลังนั่งและพูดถึงเรื่องนี้  ยังไม่มีการพูดถึงเรื่องการสร้างค่านิยมหลัก (Steam values) ผมจะสร้างค่านิยมหลัก มันเป็นจุดเริ่มของการกระทำ



                         (ภาพจาก https://www.google.co.th/search?q=richard+boyatzis&espv)                             

ดังนั้น ในบริบทขององค์กร  มีจุดประสงค์ขององค์กร คือ วิสัยทัศน์ หรือภารกิจของวิสัยทัศน์ และมันจะฝังอยู่ในแรงบันดาลใจเสมอ ๆ มันเป็นบางสิ่งที่ใหญ่กว่าพวกเรา เป็นบางอย่างมีค่ามาก และเป็นบางสิ่งที่ทำให้เรามองไปข้างหน้าและกระตุ้นให้เรา เกิดความหวัง

คุณลักษณะอย่างที่ 2 ที่จะเป็นกุญแจสำคัญของความสัมพันธ์เกี่ยวกับเรื่องที่เราพูดถึงอยู่นี้คือ สาระเกี่ยวกับความเชื่อใจและการเอาใจใส่ดูแล (Trust and Caring) เราเรียกว่า ความเมตตากรุณา (Compassion) พวกเราไม่ได้ใช้กันในสังคมทางตะวันตก หรือแม้แต่สังคมชาวพุทธ ใช้กับคนที่มีทุกข์ แต่เราใช้วิธีการทำบุญบริจาคกันมากกว่า การให้การดูแลเอาใจใส่บางคน ไม่ว่าคนที่มีทุกข์หรือสนุกสนาน หรือ คนที่พยายามจะเจริญเติบโดและพัฒนา ซึ่งไม่เพียงแค่เข้าใจ เอาใจเขามาใส่ใจเรา คุณต้องดูแลและทำบางสิ่งเพื่อพวกเขา

ลักษณะอย่างที่ 3 ที่เป็นหนึ่งในความมีปฏิสัมพันธ์เสมอคือ สิ่งที่เราเรียกว่า การดูแลเอาใจใส่ (Mindfulness) ที่เป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่เราใช้กันในทุกวันนี้ และบางอย่างก็มาจากปรัชญาทางพุทธศาสนา ซึ่งจริง ๆ แล้ว เรามักพูดกันด้วยภาษาง่าย ๆ ว่า ความจริงใจ

ในสภาพจริงที่บรรดาผู้นำปฏิบัติอยู่ พวกเขารู้และดูเหมือนว่าได้ทำ และมีความซื่อสัตย์อย่างสูงต่อหน้าที่นี้ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของแรงบันดาลใจ แล้วคุณล่ะ
เมื่อคนออกจากสำนักงานของคุณหรือออกจากวงสนทนา พวกเขารู้สึกมีแรงบันดาลใจหรือไม่ ตื่นเต้นหรือไม่ ถ้าพวกเขาไม่ คุณก็ไม่ใช่ผู้นำที่มีประสิทธิภาพ


                               
                                 (ภาพจาก https://www.google.co.th/search?q=richard+boyatzis&espv) 


มายา แองเจลลู (Maya Angelou) กล่าวในวันสำเร็จการศึกษาที่ Case Western Reserve University เมื่อสองสามปีก่อนว่า
 “จากการสังเกตของผม ในอนาคตนี้ คนจะไม่จดจำสิ่งที่คุณพูด  สิ่งที่คุณทำ แต่พวกเขาจะจดจำ สิ่งที่คุณทำให้พวกเขามีความรู้สึกอย่างไร”  (It is my observation that in the future, they will not remember what you said, they will not remember what you did, but they will remember how you made them feel.)

นี่แหละคือ สิ่งที่จะมีผลต่อการเป็นผู้นำที่มีอิทธิพล (Resonant Leaders) ของเรา  

ในกระบวนการทั้งหมด หนึ่งในหลาย ๆ สิ่งที่ควรจะย้ำเตือนกันคือ มันเป็นสิ่งที่ไม่ตายตัว ในความมีปฏิสัมพันธ์ของพวกเรา เราสามารถมีผู้นำที่มีอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่ก็ยากมากที่พวกเขาจะรักษาสถานภาพนั้นไว้ได้ นอกเสียจากว่า คุณจะต้องใช้พลังงานอย่างมาก เพราะว่า เมื่อถึงเวลานั้น อาจจะทำให้คุณต้องออกไปเสียด้วย ในเวลาเดียวกัน

ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่บ่อยครั้งอาจเกิดขึ้นได้คือ ผู้นำที่มีอิทธิพลยากที่จะรักษาสถานะไว้ได้ เพราะว่า มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เครียด คุณอาจนั่งอยู่ในตำแหน่งนั้นได้ มันดูพูดง่าย แต่ยากที่จะปฏิบัติ

ดังที่ผมได้ชี้ให้เห็นถึงข้อมูลเมื่อ 40 ปีที่ผ่านมา



Richard Boyatzis, PhD. Inspiring Leadership through Emotional Intelligence. Case Western Reserve

 University. Courser, 2015.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น