สุริยา เผือกพันธ์ : เขียน
ใคร ๆ ก็รังเกียจความยากจน !!!!!
ความยากจนน่าสนใจตรงไหน ????
ป้ายโฆษณา 3 จีถูกแปะติดไว้บนเสาไฟฟ้าที่ยืนเรียงต้นเป็นระยะ ๆ แนบชิดกับถนนคอนกรีตที่มีพื้นผิวเรี่ยลาดด้วยมูลโคกระบือกระจัดกระจายไปตลอดเส้นทาง
ทั้งสัญญาณ 3 จีและถนนคอนกรีตต่างมุ่งตรงไปยังหมู่บ้าน แล้วแตกตัวเป็นแขนงชอนไชเข้าสู่ครัวเรือน
ฝูงโคกระบือถูกต้อนจากไร่นา ปลดแอกคันไถ ละทิ้งการหว่านดำ แล้วเดินดุ่มไต่ราวไม้ขึ้นไปกักขังตัวเองไว้บนท้ายรถกระบะมุ่งหน้าเข้าสู่เมือง.......... นี่คือวิถีหมู่บ้านในวันนี้
ในปี
พ.ศ. 2554 ยังมีคนจนถึงประมาณ 8.8 ล้านคน
ในจำนวนนี้ประมาณ 3.4 ล้านคนอยู่ในภาคอีสานและหากนับรวมกลุ่มคนใกล้จนก็จะมีมากกว่านี้
ความยากจนทำให้เห็นความไม่เท่าเทียมเกิดขึ้นในสังคมไทย
"ฝูงโคกระบือถูกต้อนจากไร่นาไปสู่เมือง"
การแก้ไขความไม่เท่าเทียมกันในเมืองไทยที่มีสูงในขณะนี้
ไม่ใช่เรื่องยาก
เพราะประเทศอื่นที่เคยมีปัญหาเหมือนเราหรือยิ่งกว่าเราก็ยังแก้ไขให้ดีขึ้นได้ ด้วยการช่วยให้ชาวบ้านมีทักษะวิชาชีพและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนขนาดเล็ก
ตัวอย่างเช่น
ในปากีสถานมูฮัมหมัด ฮัดสัน (Muhammad
Hassan) วัย 29 ปี สามารถช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ของคนยากจน
ด้วยการให้ความรู้และการให้บริการแหล่งเงินทุนขนาดเล็ก หลังจากร่วมกับธนาคาร Khushhali
จำกัด ในเดือนมิถุนายน 2004 ได้เป็นเจ้าหน้าที่ให้บริการลูกค้า
ภายใต้โครงการพัฒนาแหล่งเงินทุนขนาดเล็กของธนาคาร ตามยุทธศาสตร์การลดความยากจนของปากีสถาน
ในปี 2000
“ความแตกต่างของแหล่งเงินทุนขนาดเล็กเกิดจากความต้องการที่แตกต่างกัน”
เขาพูดอย่างมั่นใจ เมื่อย้อนถึงปู่ของเขาที่เป็นชาวนานยากจนเขากล่าวว่า
“ผมสามารถช่วยเหลือปู่ของผมด้วยแหล่งเงินทุนนี้ได้ ถ้าเดี๋ยวนี้เขายังมีชีวิตอยู่
ผมต้องการช่วยเหลือชาวนาเล็ก ๆ คนค้าขาย ให้ทักษะกับคนที่ยังไม่มีธุรกิจ ผมเต็มใจที่จะทำงานเพื่อครอบครัวของพวกเขา”
จากการช่วยเหลือของ MFToT
(Microfinance Training of Trainers) ฮุดสันได้ทำความฝันของประชาชนให้เป็นจริงและมีชีวิตที่ดีขึ้น
“ผมต้องการทำให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ผมสามารถที่จะให้ความรู้เหล่านี้
ผมต้องการให้ความรู้ไปทำให้ความยากจนลดลง
แหล่งเงินทุนขนาดเล็กได้เปลี่ยนแปลงชีวิตคน
มีคนจนเป็นล้านคนในปากีสถานและคนนับล้านมีชีวิตอยู่ได้ด้วยเงินเพียงวันละหนึ่งดอลล่าร์
แหล่งเงินทุนขนาดเล็กได้ส่งผลสะเทือนที่ยิ่งใหญ่ต่อมาตรฐานการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น
ผมพยายามให้บริการเป็นพิเศษเพื่อคนที่จนมาก ๆ โดยไม่หวังประโยชน์ตอบแทน
"Muhammad Hassan" (ภาพจาก http://www.jointokyo.org/en/news/category/C198/P12)
ในมองโกเลีย ที่บ้านของเจงจิส ข่าน (Genghis Khan) แถบทะเลทรายโกบี แถบภูเขาและที่ราบ
แหล่งเงินทุนขนาดเล็กมีความหมายที่แตกต่างออกไป โดยเฉพาะสำหรับเนอกุย สนาแดกแจพ (Nergui
Snadagjav) ที่ได้เห็นความจริงว่า ประเทศที่มีประชากรมากหนึ่งในห้าของโลกมีรายได้ต่อวันเพียง
1.25 เหรียญสหรัฐ ซึ่งต่ำกว่าเส้นความยากจน
เธอได้แสดงบทบาทที่ขยันขันแข็งที่จะทำให้ชาวมองโกเลียได้ทำความฝันของพวกเขาเป็นจริง
เธอเริ่มอาชีพของเธอด้วยการทำงานเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนขนาดเล็กที่เป็นงานพิเศษ
ตามโครงการลดความยากจนแห่งชาติมองโกเลีย โดยได้เงินทุนสนับสนุนจากธนาคารโลกในปี 1996 ตั้งแต่นั้นมา
เธอได้ทำงานพัฒนาในพื้นที่ตามนโยบายการให้สินเชื่อและให้การอบรมแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐจากส่วนกลางและตัวแทนจากธนาคารพาณิชย์ที่ปฏิบัติตามนโยบายบริการแหล่งเงินทุนขนาดเล็ก จากโครงการนี้เธอได้ลงทะเบียนเรียนในหลักสูตร MFToT ในปี 2005
“ฉันดีใจมากที่ได้เรียนในหลักสูตรนี้
มันเป็นความคาดหวังของฉันและเป็นประสบการณ์ครั้งแรกในการเรียนหลักสูตรออนไลน์” สำหรับเธอผลลัพธ์มีค่ามหาศาลมาก
มันได้ขยายเครือข่ายในวิชาชีพไปทั่วโลกและเป็นการเพิ่มโอกาสในการเริ่มต้นร่วมงานกับแหล่งเงินทุนต่าง
ๆ เธอพูดว่า MFToT ได้เพิ่มพูนความรู้ให้เธอด้วยการเรียนรู้ทางไกลและการสอนแบบผสมผสาน
ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2009
เธอได้ร่วมงานกับเพื่อนบางคนก่อตั้ง NGO ขึ้นมาเรียกว่า
TERI (Training, Evaluation, Research Institute)
“เราต้องการพัฒนาคุณภาพการอบรม
การประเมินผลและการวิจัยเกี่ยวกับการลดความยากจนให้สูงขึ้นและยั่งยืน” เธอกล่าว “เราต้องการขยายความเข้าใจให้ลึกมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสาเหตุของความยากจนและความไม่เพียงพอและยุทธวิธีการให้ความรู้นี้จะทำให้เกิดความสำเร็จได้”
ทีมงานของเธอได้จัดทำสื่อและอุปกรณ์การอบรมหลักสูตร
MFToT ในพื้นที่ของมองโกเลีย พวกเธอเพิ่งเสร็จจากการบันทึกเสียงลงใน CD-ROM
เรียกว่า MFToT6. ซึ่งจะใช้ในการอบรมครั้งหน้า ชุดการเรียนที่เสร็จแต่ละครั้ง
พวกเธอจะบรรจุลงเป็นหลักสูตรวิชาเลือก (Elective Course) ในมหาวิทยาลัยมองโกเลีย
“ฉันหวังว่า จะทำให้เข้าถึงประชาชนได้มากขึ้นโดยใช้ภาษาท้องถิ่น
ทั้งผู้ใช้เงินทุนและนักเรียนที่เรียนและทำให้พวกเขาสามารถใช้สื่ออุปกรณ์ด้วยภาษาของพวกเขาเอง”
"Nergui Snadagiav " (ภาพจาก Tokyo Development Learning Center)
สำหรับในเมืองไทยสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน (PDA) ได้กำหนดวิธีการลดความยากจน (Eradication
of Poverty) ไว้ด้วยเงื่อนไข 2 ประการคือ
การฝึกทักษะวิชาชีพและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนขนาดเล็กในหมู่บ้าน
โดยมีองค์ประกอบสนับสนุน 3 ประการคือ
การจัดตั้งกองทุนหมู่บ้าน
การส่งเสริมคุณภาพชีวิตและการใช้โรงเรียนเป็นฐานในการพัฒนาที่เรียกว่า School
– Based Integrated Rural Development (S-BIRD)
กิจกรรมทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้โครงการร่วมพัฒนาหมู่บ้านหรือ Village
Development Partnership (VDP)
หมู่บ้านในวันนี้....บางครัวเรือนอยู่ระหว่างรอการเก็บเกี่ยว มีแม่บ้านและผู้เฒ่ากำลังสร้างงาน
“มันบ่มีตลาดครูเอ้ย เฮ็ดไปงั้นแหละ” ชาวบ้านคนหนึ่งรำพึงระหว่างนั่งกรอเส้นใหม
“ทอผ้าก็ไม่ได้ไปขายที่ไหน เอาไว้ใช้เอง
ถ้ามีคนอยากได้ก็ขายเหมือนกัน” อีกคนกล่าวเสริม
“บ่ได้ขายทุกวัน อันละร้อยห้าสิบ พอได้ซื้อยากิน” พ่อใหญ่คนหนึ่งพูด ขณะที่ก้มหน้าสานกระแตง
“บ่ได้ขายทุกวัน อันละร้อยห้าสิบ พอได้ซื้อยากิน” พ่อใหญ่คนหนึ่งพูด ขณะที่ก้มหน้าสานกระแตง
"ทีมครูและนักเรียนโรงเรียนมีชัยพัฒนาเข้าหมู่บ้านศึกษาเรียนรู้ชุมชน"
“ปัญหาในเมืองไทยขณะนี้คือ
เรามีสินค้าและบริการสาธารณะไม่เพียงพอ เช่น โรงเรียนคุณภาพดี ถนนดี โรงพยาบาลดี
ฯลฯ เป็นต้น การศึกษาเป็นบริการสาธารณะ
เยาวชนไทยจำนวนมากไม่มีโอกาสได้พัฒนาศักยภาพของตน เพื่อที่จะมีอาชีพที่ให้รายได้ดี
เพราะขาดการศึกษาหรือได้รับการศึกษาที่ด้อยคุณภาพในขณะเดียวกันประชาชนระดับล่างขาดความสามารถและโอกาสทำงาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาและทักษะความชำนาญที่จำเป็นอย่างยิ่งในสังคมข่าวสาร”
ถ้อยความสรุปข้างต้นได้จากงานวิจัยต่าง
ๆ เพื่อการชำแหละความมั่งคั่ง ตีแผ่โครงสร้างอำนาจ สู้วิถีการปฏิรูปสู่สังคมไทยเสมอหน้าของผาสุก
พงษ์ไพจิตร(2557) ที่สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การเข้าใจความยากจนเพียงระดับความรู้สึกไม่เพียงพอ
แต่ต้องเรียนรู้ให้ลึกไปถึงระดับเหตุผล ภาวการณ์ขาดแคลนทักษะแรงงาน ได้กลายเป็นปัญหาในประเทศไทย
การเสริมทักษะการทำงานและสร้างนวัตกรรม จะช่วยเพิ่มรายได้และลดความยากจนได้
สำหรับโรงเรียนแล้ว ความยากจนจึงเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีที่สุดของนักเรียน