สุริยา เผือกพันธ์
ผู้อำนวยการโรงเรียนมีชัยพัฒนา
“ถ้าระบบโรงเรียนตามแนวกระแสหลักโดยทั่วไป
สอนให้นักเรียนมีความคิดแบบที่ว่า ต้องการแต่จะชนะ
แพ้ไม่ได้ไร้ค่า ไม่มีใครเหลียวแล ต้องการเป็นปลาใหญ่ในสังคม เห็นแก่ตัว แข็งกระด้าง
ไม่มีน้ำใจให้ผู้อื่น มือใครยาวสาวได้สาวเอา เรายังจะเลือกทางแพร่งนี้หรือไม่”
สิ่งที่ผมต้องทำในเบื้องต้นในโรงเรียนคือ
การทำความเข้าใจตนเอง ด้วยการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตผู้คน
ระบบการทำงานและข้อมูลเชิงประจักษ์ต่าง ๆ ตัวหนังสือในโรงเรียนคือ
หลักฐานอย่างหนึ่งที่บ่งบอกถึงความต้องการ แนวความคิด ลึกไปถึงปรัชญาในการดำเนินชีวิตของสังคมเล็ก
ๆ แห่งนี้ว่า มีทิศทางไปทางใด ผมเห็นคำสำคัญ (Key words) หลายคำ หนึ่งในนั้นที่โดดเด่นที่สุดคือ ปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนและสังคม
ในต้นสัปดาห์แรก ๆ
หลังจากที่การเรียนการสอนประจำวันสิ้นสุดลง พวกเรานัดประชุมกันเพื่อมา
ทำความเข้าใจตนเอง
สิ่งที่ผมนำเสนอให้ทุกคนได้พินิจร่วมกันคือ แนวคิดที่ผมสืบค้นมาจากอาจารย์ เกียรติวรรณ อมาตยกุล ที่กล่าวถึง การพัฒนาตนและสังคม
ว่า โลกของเราเดินทางมาถึงทางสองแพร่ง แพร่งที่หนึ่งคือ
ทางเดินที่เป็นกระแสหลักของโลก เออร์วิน ลาสซ์โล (Irvin Laszlo) ได้แบ่งระยะการพัฒนาการของโลกออกเป็นช่วง ๆ ดังนี้ 1) ช่วงริเริ่มที่จะนำไปสู่จุดวิกฤต (1800-1960)
การปฏิวัติอุตสาหกรรม ควบคุมธรรมชาติ 2) ช่วงสะสม (1960-2004) สะสมนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆมีผลกระทบด้านทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ
สังคมมีความสลับซับซ้อน 3) ช่วงหน้าต่างของการตัดสินใจ (2005-2012) สังคมวิกฤตอย่างหนักจากระบบทุนนิยม
จุดวิกฤตจึงเริ่มตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา
กล่าวคือ 1) ด้านเศรษฐกิจ กระจายทรัพยากรไม่เป็นธรรม
ช่องว่างคนจน-คนรวยมีมากขึ้น 2) ด้านสังคม ผู้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น
เห็นแก่วัตถุมากขึ้น เงินและความร่ำรวยกลายเป็นเป้าหมายของชีวิต ครอบครัวล่มสลาย
3) ด้านระบบนิเวศ ระบบทุนนิยมใช้ทรัพยากรสิ้นเปลือง
เผาผลาญเชื้อเพลิงมโหฬาร ทำลายคุณภาพดินด้วยปุ๋ย ใช้น้ำอย่างสิ้นเปลือง
ภาวะโลกร้อน เกิดภัยธรรมชาติ
คำถามที่พวกเราตั้งเป็นโจทย์คือ
เราจะเดินหน้าต่อไปหรือหยุดเพื่อมองหาหนทางใหม่
บนความเชื่อที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ของทางสองแพร่ง
ความเชื่อหนึ่งที่สนับสนุนการพัฒนาโลกตามแนวทางทุนนิยมอันเป็นกระแสหลักคือ
ความเชื่อพื้นฐานที่เชื่อว่า 1) ยกย่องคนที่เข้มแข็งกว่า มีอำนาจมากกว่า 2) ทรัพยากรของโลกใช้ไม่มีวันหมด
3) ส่งเสริมการผลิต การบริโภค การใช้จ่ายอย่างไม่จำกัด 4) เน้นการทำกำไร เอาเปรียบผู้อื่นสูงสุด 5) สรรพสิ่งในจักรวาลแยกส่วน
อีกความเชื่อหนึ่งที่เป็นแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมีความเชื่อพื้นฐานที่เชื่อว่า
1) ยกย่องความเท่า
เทียม
ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน 2) ทรัพยากรมีจำกัดต้องใช้อย่างประหยัด
3) ลดการผลิต การบริโภค การใช้จ่ายของคนในสังคม 4) พึ่งตนเอง ช่วยผู้อื่น กำไรพอควร 5) สรรพสิ่งล้วนสัมพันธ์กัน
การพัฒนาสังคม เริ่มจากตัวเราก่อน
“เริ่มจากตัวเราก่อน” คือ คำสำคัญที่พวกเราเห็นคล้อยว่า
ตรงกับการปฏิรูปโรงเรียนของพวกเรามากที่สุด ที่กล่าวเป็นวลีว่า
ปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนและสังคม
อาจารย์เกียรติวรรณ
อมาตยกุลอธิบายว่า การพัฒนาตนเองที่เป็นการพัฒนาตามหลักปรัชญา Neo-
humanist เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้คนเราเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง (Self-Esteem) อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคมได้ เมื่อคนเราเห็นคุณค่าในตนเองก็จะเห็นคุณค่าของผู้อื่น
เมื่อคนแต่ละคนที่เห็นคุณค่าในตนเองมาร่วมกันเป็นกลุ่มสังคมก็จะเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่
สำคัญที่ว่า พวกเราจะออกแบบสังคมในโรงเรียนของเราอย่างไรที่จะเอื้อต่อการพัฒนาตนเองของนักเรียน
ครูและบุคลากรทั้งหมดให้มีความภาคภูมิใจในตนเอง
ถ้าระบบโรงเรียนตามแนวกระแสหลักโดยทั่วไป
สอนให้นักเรียนมีความคิดแบบที่ว่า ต้องการแต่
จะชนะ
แพ้ไม่ได้ไร้ค่า ไม่มีใครเหลียวแล ต้องการเป็นปลาใหญ่ในสังคม เห็นแก่ตัว แข็งกระด้าง
ไม่มีน้ำใจให้ผู้อื่น มือใครยาวสาวได้สาวเอา เรายังจะเลือกทางแพร่งนี้หรือไม่
จากการศึกษางานของอาจารย์เกียรติวรรณ
อมาตยกุลทำให้ผมทราบมาว่า อาจารย์ตั้งโรงเรียนสอนนักเรียนตามแนวคิดปรัชญา Neo-humanist
ชื่อว่า โรงเรียนอมาตยกุล จึงแสวงหาเรื่องราวเกี่ยวกับโรงเรียนนั้นว่า
สังคมโรงเรียนของพวกเขามีความเป็นอยู่กันอย่างไร
“5 ปีที่ทำงานที่โรงเรียนนี้มา
ผมมีชีวิตที่มีความสุขและได้เห็นความแปลกแตกต่างของโรงเรียนแห่งนี้ว่ามีอะไรที่ไม่ธรรมดาหลายอย่าง
ผมมีโอกาสได้อยู่เบื้องหลังและได้เห็นบรรยากาศการคิดริเริ่มสิ่งใหม่ ๆ หลายครั้ง
ทำงานที่นี่ผมมีสุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บป่วยง่าย เพราะมีเวลาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วยการวิ่งและเล่นวอลเล่ย์บอลกับคุณครูและเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนในตอนเย็น
ได้ทำโยคะ สมาธิที่โรงเรียนทุกวันอาทิตย์เวลา 9 โมงเช้าถึง 11
โมง เหมือนได้ชาร์ทพลังก่อนเริ่มงานในสัปดาห์ถัดไป
คุณครูและเจ้าหน้าที่ทุกคนน่ารัก มีน้ำใจ มีคุณธรรมและเอาใจใส่เด็ก ๆ
พูดเพราะกับเด็ก ๆ ผมมีชีวิตอย่างพอเพียงมีความสุข มีเงินเหลือเก็บ
เพราะมีค่าใช้จ่ายน้อย อาหารเช้าและกลางวันทานที่โรงเรียน
ชุดทำงานก็เป็นสวัสดิการที่โรงเรียนมีให้ ได้ไปเปิดหูเปิดตาในหลายประเทศ
มีวันหยุดแบบเต็ม ๆ เพื่อเติมพลังให้ตัวเองปีละ 2 เดือนครึ่ง
โดยที่ไม่ต้องมาโรงเรียนแต่ได้รับเงินเดือน
แม้เงินเดือนพวกเราจะไม่มากมายเท่าบริษัทเอกชนแต่พวกเราก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีในระดับเกรด
B+ ทีเดียว ถ้าใครรู้จักกินรู้จักใช้จะมีเงินเหลือเก็บมากมาย”
ครูคนหนึ่งในโรงเรียนอมาตยากุลเขียนบอกเล่าถึงสังคมในโรงเรียนของพวกเขา
การประชุมเพื่อทำความเข้าใจตนเองของพวกเราใช้เวลาร่วมสองชั่วโมง
มีประเด็นปัญหาให้ทุก
คนได้กลับไปขบคิด
เคี้ยวย่อยคำสำคัญ การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงตนเองและสังคม
ซึ่งแท้ที่จริงแล้วการเปลี่ยนแปลงโลกทั้งด้านในและด้านนอก
เป็นการเปลี่ยนแปลงที่รับใช้พึ่งพากันและกัน ในระดับบุคคลระหว่างกายกับจิตและในระดับองค์กร
เป็นการพึ่งพากันระหว่างระบบคุณค่าและวัฒนธรรมในองค์กรกับโครงสร้างการบริหารขององค์กรที่เกื้อกูลกันและกันของโลกทั้งสองด้าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น