สุริยา เผือกพันธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนมีชัยพัฒนา
“กำแพงสูงที่กักขังหน่วงเหนี่ยวอิสรภาพดูแน่นหนาทะมึน
แต่กระนั้นอาจดูบางเบากว่ากำแพงแห่งความเกลียดกลัวชิงชังที่มีต่อผู้คนที่ถูกจองจำภายในรั้วรอบอันมิดชิดนั้น”
เปลวแดดแผดรัศมีเหนือกำแพงสูง...ลิบ
ๆ ไปในนภากาศ ม่านเมฆกับฟ้าใสส่องสว่างแจ่มจรัส แต่ภายใต้การโอบล้อมของกำแพงยักษ์ ชีวิตของคนวัยอรุณรุ่งกลุ่มหนึ่งกลับมืดมน
อิสรภาพถูกจำกัดไว้ด้วยเส้นของกฎเกณฑ์ ซ้ายกำแพง ขวากำแพง เหลี่ยมมุมทรงจัตุรัสคือ
ผลิตผลของสถาปนิกผู้ออกแบบเสรีภาพของ คนชายขอบเช่นพวกเขา บ้านหลังใหญ่แต่ไม่มีใครอยากเข้าไปอยู่
ไกลออกไปบริเวณชานเมือง สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดแห่งหนึ่ง
มีเด็กและเยาวชนอยู่ในความควบคุมจำนวน 126 คน
เป็นชาย 122 คน หญิง 4 คน
ประเภทของความผิดประกอบด้วยฐานความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ร้อยละ 36 ฐานความผิดเกี่ยวกับทรัพย์สิน ร้อยละ 29
ฐานความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย ร้อยละ 16 ฐานความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนวัตถุระเบิด ร้อยละ 13 ฐานความผิดเกี่ยวกับเพศ
ร้อยละ 6
พายุแห่งความยากจนของครอบครัวที่ล่มสลายในชนบทได้กวาดต้อนผู้คนในวัยแรงงานให้ละทิ้งถิ่นฐานไปแสวงโชคในเมืองใหญ่
ฝากความเหงาว้าเหว่ให้เฝ้าดูแลบุตรหลานและตายาย ขาดโอกาสทางการศึกษา
เฉกเช่นคนทั่วไป
“การได้เข้ามาอยู่ในที่นี้
ทำให้มีเวลาคิดได้ว่า ที่ผ่านมาหลงผิด ติดเพื่อน อยากลอง” เอ
เด็กชายต้องคดีเสพและจำหน่ายยาเสพติดบอกความรู้สึก
“เพียงชั่วระยะเวลาเพียงเสี้ยววินาทีของการกระดิกนิ้วลั่นไก
ทำให้ผมต้องเข้ามาอยู่ในนี้อย่างยาวนาน
หวนคิดได้ว่าวันเวลาที่ผ่านมาใช้เวลาอย่างไม่เป็นประโยชน์” บี เด็กชายอีกคนที่ต้องคดีพยายามฆ่าย้อนเวลาของตนเอง
“ไม่รู้ว่าในกระเป๋าที่เพื่อนฝากไว้มีอะไร
ระหว่างการนัดกินข้าวกับเพื่อนที่ร้านคาราโอเกะ
เพียงชั่วประเดี๋ยวหลังจากที่เพื่อนปลีกตัวไป ตำรวจก็เข้ามาจับ ในกระเป๋ามียา 100
เม็ด” ซี
เด็กผู้หญิงต้องคดียาเสพติดกล่าว
“อยู่กับแฟนในห้องไม่รู้ว่ามียา
โดนจับพร้อมแฟน” ดี เด็กหญิงอีกคนที่ถูกจับฐานมียาครอบครองจำนวนมาก
กำแพงสูงที่กักขังหน่วงเหนี่ยวอิสรภาพดูแน่นหนาทะมึน
แต่กระนั้นอาจดูบางเบากว่ากำแพงแห่งความเกลียดกลัวชิงชังที่มีต่อผู้คนที่ถูกจองจำภายในรั้วรอบอันมิดชิดนั้น
มีผู้คนมากมายที่แวะเวียนมาดูพวกเขา ราวกับเป็นสิ่งแปลกปลอม
ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้พวกเขามีความรู้สึกว่า พวกเขาได้ถูกสังคมผลักไสให้ถอยห่างออกไปมากขึ้นเรื่อย
ๆ
ทว่าพันตรีอริยะ เรืองวาทสาร
อดีตครูฝึกนักศึกษาวิชาทหารที่เด็ก ๆ รู้จักกันดีในนามผู้กองยะ หลังการลาออกจากราชการทหารได้หันมาดูแลเด็ก ๆ ในสถานพินิจแห่งนี้อย่างจริงจัง
“ผมได้แรงบันดาลใจจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้ตรัสถึงเยาวชน
ด้วยความห่วงใย ในครั้งที่ผมได้มีโอกาสรับใช้พระองค์ท่านอย่างใกล้ชิด”
ผู้กองยะเล่าถึงที่มาของการตัดสินใจเข้ามาทำงานเกี่ยวกับเยาวชน
“ก่อนหน้านี้ผมเห็นคนเข้ามาดูเด็กและเยาวชนในสถานพินิจคล้ายกับมาดูสวนสัตว์
มันสะท้อนผลที่ไม่ดีทั้งสองฝ่าย
เด็กในนี้ก็จะสงสัยว่ามาดูพวกเขาเหมือนสัตว์ประหลาด
ในขณะที่ผู้มาดูก็ไม่ได้เรียนรู้อะไร” ผู้กองยะเล่าถึง
การแวะเวียนมาดูงานของผู้คนเมื่อก่อนนั้น
“ผมจึงนำเด็กและเยาวชนที่อายุใกล้เคียงกัน
เข้ามาทำกิจกรรมร่วมกัน ให้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เรียนรู้ซึ่งกันและกัน
ช่องว่างของคนทั้งสองฝ่ายก็จะหายไป คนที่อยู่ข้างในนี้เมื่อเขาได้รับการปล่อยตัวไป
ก็ต้องไปอยู่ปะปนกับคนที่เข้ามาร่วมทำกิจกรรมเหล่านี้ ไม่สถานะใดก็สถานะหนึ่งในสังคม
พวกเขาจะอยู่ร่วมกันได้เป็นปกติ” ผู้กองยะ เล่าถึงผลในระยะยาวที่จะได้รับจากการทำกิจกรรมของเขา
“แล้ววันหนึ่ง
ก็มีลูกหลานที่เรียนอยู่โรงเรียนมีชัยพัฒนา กับเพื่อนสองสามคนมาบอกว่า
อยากทำงานจิตอาสาช่วยเด็กและเยาวชนในสถานพินิจ ผมเลยถามเค้าว่า มีความรู้อะไร”
ผู้กองยะเล่าถึงที่มาของกลุ่มจิตอาสาของนักเรียนโรงเรียนมีชัยพัฒนาที่ได้เข้ามาร่วมทำกิจกรรมในวันนี้
“เด็กตอบว่า ทำกิจกรรมสันทนาการเป็น
ผมเลยบอกว่า...เอ้างั้นลองดู” ผู้กองยะบอกอนุญาต
การมีโอกาสได้เข้าไปทดลองงานของกลุ่มนักเรียนจิตอาสา
เป็นการนำร่องประสบการณ์เพื่อขยายผลให้ความดีกระจายไปยังกลุ่มเพื่อน ๆ ในโรงเรียน
ในวันนี้ “แต๋ม”
นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนมีชัยพัฒนา
จึงเป็นผู้นำกลุ่ม จิตอาสา กลุ่มใหญ่จำนวน
27 คน โดยมีครูหน่อยและครูเต๊ก เป็นที่ปรึกษามาทำกิจกรรมเพื่อเรียนรู้ซึ่งกันและกันตามจุดประสงค์ของผู้กองยะที่ว่า
“ต่างคนต่างได้อะไรจากกันและกัน”
กิจกรรมในวันนี้ประกอบด้วย
เกม ความรู้เรื่องเอดส์ สันทนาการ มอบหนังสือ กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ เยี่ยมชมอาคารสถานที่
หลังกิจกรรมสิ้นสุดลง สมาชิกกลุ่มทุกคนต่างพูดเป็นทำนองเดียวกันว่า
“เมื่อก่อนนี้หนูเกลียด กลัว เข้ากลุ่มแรก ๆ หนูยังสั่น แต่พอได้พูดคุยกัน
ทำกิจกรรมร่วมกันเสร็จแล้ว หนูกลับรู้สึกสงสารเห็นใจและเลิกเกลียดกลัวพวกเขา”
บ่ายคล้อยของวันอันทรงคุณค่าของกลุ่มจิตอาสาในวันนั้น
พวกเขาเดินทางกลับโรงเรียนด้วยความ
อิ่มเอมใจ ทุกคนก้าวผ่านท่าขนถ่ายอวิชชาเชิงสะพานมังกรด้านฝั่งประตูโรงเรียนเพื่อกลับที่พัก
ณ ที่ตรงนี้ ที่ที่ได้สร้างจุดเปลี่ยนแห่งการรู้แจ้ง แก่เด็ก ๆ
ตามปรัชญาโรงเรียนได้อย่างลึกซึ้งถึงแก่นสาระของการศึกษา
The more you give, the more you get
ปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงตนเองและสังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น