Kurt
W. Fischer and L, Todd Rose เขียน
สุริยา เผือกพันธ์ แปลและเรียบเรียง
คำสำคัญ: เครือข่ายทักษะการเรียนรู้ (Webs of Skill),
การวิเคราะห์พลวัต (Dynamic Analysis) วิธีการพลวัต (Dynamic
Approach)
คลาร่า (Clara) และสก๊อต (Scott) วัย 7 ขวบเป็นเด็กเฉลียวฉลาด
ที่มีความกระตือรือร้นอยากจะอ่านหนังสือให้คล่อง
แต่ทั้งสองมีความแตกต่างกันมากในเรื่องทักษะที่เรียนรู้มาจากพ่อแม่ คลาร่า
อ่านคำว่า “dog” “black” และ “Waffle” (ได้ดีเท่ากับคำอื่น ๆ อีกหลายคำ) อ่านอย่างมีจังหวะ ออกเสียงอักขระเพื่อเปล่งเสียงเป็นคำ
ๆ ได้ ส่วนสก๊อต ก็อ่านคำเหล่านั้นได้ด้วยเช่นกัน
แต่ติดขัดในเรื่องการใช้จังหวะและการออกเสียง โดยเฉพาะคำว่า “black” และ “Waffle” แต่สก๊อตมีพัฒนาการดี เมื่อได้รับการช่วยเหลือจากครู
ครูนำเอาคำว่า “black”
มาให้อ่านออกเสียงเป็นจังหวะ ซึ่งสก๊อตอ่านได้ดีในขณะนั้น
แต่อีกสองสามนาทีต่อมาเขากลับอ่านติด ๆ ขัด ๆ
เพื่อทำความเข้าใจและอธิบายเกี่ยวกับตัวแปรที่มีผลต่อการเรียนรู้และการพัฒนา
เราต้องค้นหารูปแบบที่อยู่เบื้องหลังการเรียนรู้ของคลาร่าและสก๊อต นักการศึกษา
นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้รูปแบบเพื่ออธิบายความสลับซับซ้อนของภารกิจที่เผชิญหน้าอยู่ให้เข้าใจแบบง่าย
ๆ ส่วนใหญ่เน้นไปที่ปัจจัยเชิงเดี่ยวในการอธิบาย ตัวแปรเกี่ยวกับรูปแบบ การกล่าวถึงความเฉลียวฉลาด
ขั้นตอนการพัฒนาหรือปทัสถานในการพัฒนา คลาร่าดูจะฉลาดกว่าสก๊อต
หรือคลาร่าอยู่ในระดับที่สูงกว่าสก๊อตหรือสก๊อตมีปทัสถานที่ต่ำกว่าเกณฑ์และคลาร่าอยู่ในเกณฑ์ตามปทัสถาน
แต่ทำไม เมื่อสก๊อตอยู่กับครูเขาจึงเรียนรู้ได้ดี อาจมีปัจจัยที่มากกว่าหนึ่งปัจจัยที่เป็นเหมือนบันไดไต่ไปสู่การสร้างสมรรถนะ
การมีความรู้และสติปัญญาได้เพิ่มขึ้น
ในฐานะนักวิจัย ครูและพ่อแม่
เรามีความตระหนักอย่างมากและบ่อยครั้งที่นึกถึงความทรงจำอันเจ็บปวดว่า
นักเรียนทั้งหมดไม่สามารถไต่ขึ้นไปบนบันไดอันเดียวกันได้
ทักษะทางวิชาการและสังคมของพวกเขาไม่ได้พัฒนาในเวลาเดียวกันหรือด้วยวิธีการอันเดียวกัน
แต่พัฒนาด้วยวิธีการที่สลับซับซ้อนและมีความน่าสนใจมากกว่านี้ การวิเคราะห์พลวัต (dynamic
analysis) ของคำถามที่ว่า นักเรียนสร้างทักษะการเรียนรู้หรือความเข้าใจในการเรียนที่แตกต่างกันอย่างไร
คลาร่าและสก๊อตมีความแตกต่างกันและต่างคนต่างเรียนรู้ด้วยวิธีการที่หลากหลาย คำถามมีว่า
ตัวแปรที่มีส่งผลต่อการสร้างทักษะการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคนได้เกิดขึ้น
ในบริบทและสถานะทางอารมณ์และสิ่งที่สนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้นั้นเป็นอย่างไร
การสร้างเครือข่ายในการพัฒนา
(Constructive
Webs of Development)
กรอบการทำงานที่เป็นทางเลือกเพื่อทำความเข้าใจการเรียนรู้และการพัฒนาคือ
วิธีการที่เป็นพลวัต (dynamic approach)
ที่มีส่งผลเหนือกว่าค่าสถิติเพียงตัวเดียว (The static one dimensional
ladder) และสร้างแนวความคิดของการสร้างเครือข่ายทักษะการเรียนรู้ (Fischer
& Bidell, 1995) ให้มองการเรียนรู้เป็นเหมือนการสร้างพลวัตของเครือข่ายที่สนับสนุนความเข้าใจ
รูปแบบการเรียนรู้และพัฒนาในมิติที่มีขอบเขตเล็ก ๆ เป็นการพัฒนาด้านต่าง ๆ (Domain) ด้วยศักยภาพของทักษะและการบูรณาการทัษะเหล่านี้
ตัวอย่างเช่น การอ่านคำศัพท์ นักเรียนต้องการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในด้านต่าง
ๆ ที่มีความแตกต่างกันอย่างน้อย 2 ทักษะคือ ทักษะการดูภาพ เช่น การอ่านและการเขียนอักขระและคำศัพท์
และทักษะการวิเคราะห์เสียง เช่น จังหวะการอ่านออกเสียงคำศัพท์
ตามแนวความคิดของการสร้างเครือข่ายทักษะการเรียนรู้อธิบายว่า นักเรียนสามารถรักษาสภาพการคงที่ของการจำและนำไปสู่การยอมรับรูปแบบของตัวแปรใหม่และหลีกเลี่ยงตัวแปรดั้งเดิม
(Classical model)
นักเรียนสร้างขอบเขตการเรียนรู้ที่หลากหลายอย่างต่อเนื่องในเครือข่ายทักษะการเรียนรู้ของเขา
เช่น ภาพและเสียงเพื่อการอ่านคำศัพท์ต่าง ๆ ด้วยทักษะที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของทักษะที่มีความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น
ระหว่างด้านต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น จำแนกตัวอักขระของพยัญชนะ
ช่วยให้นักเรียนสร้างทักษะของการอ่านและการสะกดคำแต่ละคำ
พิจารณาตามขอบเขตในตัวมันเองแล้ว ก็คล้ายกับขั้นบันไดของทักษะการเรียนรู้ในด้านนั้น
ๆ อย่างไรก็ตามมันแตกออกเป็นกิ่งก้านสาขาที่เชื่อมไปยังด้านอื่น ๆ
ที่มีมากมายหลายด้าน ไม่ใช่มีเพียงจด้านใดด้านหนึ่ง ในการอ่านพยัญชนะ เช่น
ภาษาอังกฤษ ผู้อ่านจะเชื่อมโยงทักษะไปยังด้านการดูภาพและการวิเคราะห์เสียง
เพื่อการอ่านที่มีประสิทธิภาพ
การพัฒนาการสร้างทักษะการเรียนรู้
เป็นการรวมเอาทักษะแต่ละด้าน แตกกิ่งก้านสาขาและการเชื่อมโยงกัน ด้วยการทำให้นักเรียนแต่ละคนได้เห็นเครือข่ายการเรียนรู้ดังกล่าว
และให้ทราบว่านักเรียนแต่ละคนจะมีเครือข่ายการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน
ไม่เหมือนการก้าวขึ้นบันไดที่เป็นไปทีละขั้น ๆ เหตุการณ์และลำดับขั้นของการเกิดขึ้น
ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นลำดับก่อนหลัง หรือไม่ก็ไม่ใช่เป็นเหตุการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวเป็นภาพรวมทั้งหมด
ในขณะเดียวกัน
บ่อยครั้งที่เครือข่ายการเรียนรู้แสดงออกให้เห็นถึงการจัดลำดับได้เหมือนกัน
ธรรมดานักเรียนจะแสดงให้เห็นถึงขอบข่ายการเรียนรู้ที่เป็นกิ่งก้านสาขาและมีการเชื่อมโยงคล้าย
ๆ กันได้ดีเท่า ๆ กับการเริ่มต้นและจบลงที่คล้ายกัน
องค์ประกอบเหล่านี้ไม่มีให้เห็นในการเรียนรู้ในรูปแบบมิติเดียวแบบขั้นบันได ซึ่งผลักดันนักเรียนทุกคนเข้าสู่รูปแบบที่เข้มงวดแบบเดียวกัน
(One
size fits all) ความไม่ครอบคลุมพัฒนาการการเรียนรู้นี้
รูปแบบการวิเคราะห์พลวัตของเครือข่ายการเรียนรู้จะเป็นเครื่องมือที่ผลักดันให้ครูได้ทำการพัฒนาสูงกว่าปทัสถานและมีวิธีการสอนให้นักเรียนแต่ละคนอย่างมีประสิทธิภาพ
นักเรียนสองคนอยู่ห้องเรียนเดียวกัน เวลามีการทดสอบการปฏิบัติงานอาจมองเห็นคล้ายกัน
แต่ความเข้มแข็งและปัญหาของพวกเขาอาจแตกต่างกันได้ เพราะพวกเขามีการพัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน
แรก ๆ ของการพัฒนการอ่าน
อาจแสดงให้เห็นรูปแบบของตัวแปรการพัฒนาที่เป็นลำดับขั้นได้
ในการศึกษาวิจัยกลุ่มหนึ่งของพวกเราคือ กลุ่มวิจัยพัฒนาพลวัต (Dynamic
Development Research Group) ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Knight
& Fischer, 1992) ในการวิจัยนักเรียนจำนวน 120 คนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1,2,3 อายุระหว่าง 6
– 8 ปี ให้ทำงานเป็นชุดจำนวน 6 ชุดด้วยคำศัพท์ที่มีความคุ้นเคยในบทเรียนที่พวกเขาเรียนในโรงเรียน
ภารกิจทั้ง 6 เกี่ยวข้องกับคำศัพท์เดี่ยว ๆ ความหมายของคำ
การแจกแจงตัวอักษร จังหวะการอ่าน การอ่านอย่างมีจังหวะ
การเรียนรู้การอ่านและวิธีการอ่าน ในการทดสอบการปฏิบัติงานเหล่านี้ พวกเราบ่งชี้การพัฒนาเครือข่ายทักษะการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคน
สำหรับการเรียนรู้การอ่านคำโดด ๆ (Fischer,Knight & Van Parys, 1993) การศึกษาเครือข่ายการเรียนรู้แบบนี้ง่ายกว่าการศึกษาแบบบันไดตัวเดียว เพราะมันเป็นกลุ่มเล็ก
ๆ ถ้ามีปฏิบัตงานมากกว่านี้ เครือข่ายทักษะการเรียนรู้อาจขยายขอบข่ายและการเชื่อมโยงกันเพิ่มขึ้นได้อีก
...............................................................................................................................
http://www.ascd.org/publications/educational-leadership/nov01/vol59/num03/Webs-of-Skill@-How-Students-Learn.aspx
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น