สุริยา เผือกพันธ์ เขียน/เรียบเรียง
“ทำไม
!!
อะไร ?? ทำให้ดนตรี
ศิลปะและการเต้นรำตกไปอยู่อันดับล่างสุดของการจัดลำดับชั้นทางวิชาการ
โดยมีศาสตร์ที่แข็ง (Hard Science) อยู่ชั้นบนสุด นักปฏิรูปการศึกษาพึงตอบ”
คำสำคัญ :
ศาสตร์อ่อน (Soft Science), ศาสตร์แข็ง (Hard
Science), ธรรมชาติของความรู้ (Epistemological)
มิติการสอน (Perspective
on Teaching), วัตถุวิสัย (Objectivism), อัตวิสัย
(Subjectivism)
การสอนเป็นศาสตร์และศิลปะ
ที่เป็นศิลปะเพราะครูต้องเผชิญหน้ากับผู้เรียนจำนวนมากและมีตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ซึ่งต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและตัดสินใจอยู่เสมอ
ซึ่งโดยปกติครูที่ดีจะมีความชอบที่จะสอนด้วย
ดังนั้นอารมณ์และสติปัญญาจึงมีความสำคัญเท่า ๆ กัน ในหลายกรณี ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
ครูต้องเข้าใจนักเรียนและเห็นถึงความยากลำบากในการเรียนรู้ของพวกเขา
จึงต้องให้ความสำคัญกับการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพด้วย
ในทำนองเดียวกันศาสตร์ของการสอน ต้องอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีและงานวิจัย
เราจะเห็นความจริงโดยทั่วไปว่า บ่อยครั้งที่ทฤษฎีมีความไม่ลงรอยกัน
ความแตกต่างกันของธรรมชาติของความรู้ (Epistemological) และระบบค่านิยมเป็นแรงขับเคลื่อนให้มีการเปลี่ยนแปลง ในหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา
เรามีงานวิจัยที่เป็นประโยชน์มากที่อธิบายถึง
ทฤษฎีการสอนและการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีความเข้มแข็งและเป็นทฤษฎีมีคุณค่าบนพื้นฐานของข้อมูลที่ปราศจากการใช้ความรู้สึก
ในห้องเรียนแบบดั้งเดิม
ที่ประกอบด้วยกำแพงสี่ด้าน มีตารางเรียนกำหนดเวลา เป็นพื้นที่ในการพูดคุยแลกเปลี่ยน
แต่ในปัจจุบัน ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนได้เปลี่ยนแปลงไปโดยรอบ
เพราะการเติบโตทางเทคโนโลยีการสื่อสารทำให้การเรียนรู้มีอยู่ทั่วไป (Ubiquitous
Learning) การเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา
ธรรมชาติของมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความอยากรู้อยากเห็น
ห้องเรียนแบบดั้งเดิมไม่อาจตอบสนองการเรียนรู้แบบใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
" เทคโนโลยีการสื่อสารทำให้การเรียนรู้มีอยู่ทั่วไป (Ubiquitous Learning)"
การเกิดขึ้นของห้องเรียน (The
original of the classroom design model) ด้วยสถาบันต่าง ๆ ของเราได้สร้างสรรค์ขึ้นตามยุคตามสมัย
ฟรานซิส ฟูกูยามา (Francis
Fukuyama) กล่าวว่า สถาบันนั้นได้ถูกสร้างขึ้น เพื่อให้ทำหน้าที่ที่สำคัญแก่รัฐ
ดังนั้น เพื่อมิให้เกิดความล้มเหลวในการทำหน้าที่ สถาบันจึงต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เหมาะไปตามกาลเวลาและสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
เราต้องการตรวจสอบรากเหง้าของระบบการศึกษาสมัยใหม่
เพราะว่าการเรียนการสอนในปัจจุบัน
ยังได้รับอิทธิพลจากโครงสร้างของสถาบันที่ได้พัฒนามาเมื่อหลายปีมาแล้ว ความต้องการดังกล่าวนี้
ก็เพื่อหาความพอดีของรูปแบบการสอบแบบเดิมที่ยังดำรงอยู่กับยุคสมัยดิจิตัล
มหาวิทยาลัย
วิทยาลัยและโรงเรียนในเมืองใหญ่ยังจัดการเรียนการสอนโดยเน้นการพบกลุ่มผู้เรียนและใช้เวลาเป็นกฎเกณฑ์
ซึ่งเป็นวิธีการที่ดีในสังคมอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่ เรายังคงออกแบบการศึกษาตามแบบที่โรงงานเคยครอบงำมาก่อน
ดังนั้น
รูปแบบดังกล่าวนี้จึงเหมือนปลาที่ถูกขังอยู่ในอ่างน้ำ ที่ทำได้เพียงการหายใจเพื่อการมีชีวิตอยู่
สิ่งที่ผู้เรียนได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เรียนที่ดีในห้องเรียนแบบนี้ก็คือ
การอยู่ในห้องเรียนเดิม ๆ เวลาเดิม ๆ เพื่อให้มีเวลาเรียนครบตามกำหนด
(เทอมหรือภาคเรียน) เท่านั้น
“ห้องเรียนแบบดั้งเดิมมีอายุมากว่า
150
ปีแล้ว”
อย่างไรก็ตามรูปแบบการสอนแบบนี้ใช้มากว่า 150
ปีแล้ว ในขณะที่ปัจจุบันธรรมชาติของความรู้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากกาย
แดน แพรตต์ (Dan Pratt, 1998) ได้ศึกษาครูที่สอนผู้ใหญ่จำนวน 253 คนจากประเทศต่าง
ๆ และได้อธิบายถึง รูปแบบการสอน 5 มิติคือ
-การสอนแบบถ่ายทอด (Transmission) เนื้อหา (Content) เกี่ยวกับความจริง กฎเกณฑ์ จะเกิดประสิทธิภาพดี
เมื่อใช้วิธีการสอนแบบวัตถุวิสัย (Objectivist approach)
-การสอนแบบฝึกงาน (Apprenticeship) การทำตามตัวแบบ (Modeling ways of being)
เหมาะสำหรับการเรียนด้วยการปฏิบัติภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
-การสอนแบบพัฒนา (Developmental) การสอนการคิด (Cultivating ways of thinking)
เป็นการสอนแบบสรรสร้างและกระบวนการคิด (Constructivist/Cognitivist)
-การสอนแบบอบรมบ่มเพาะ (Nurturing) สนับสนุนให้การเรียนรู้ด้วยตนเองมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น บนพื้นฐานของการประกอบอาชีพโดยเรียนผ่านหลักสูตรออนไลน์
Massive open online course (MOOCs)
-การสอนแนวปฏิรูปสังคม (Social
reform) การสอนเพื่อมองหาหรือสร้างสังคมที่ดีกว่า
ในการสอนแต่ละรูปแบบมีความสัมพันธ์กับทฤษฏีการเรียนรู้และเนื้อหาบางเนื้อหาที่แตกต่างกันไป
“นักเรียนโรงเรียนมีชัยพัฒนาร่วมกันร่างธรรมนูญโรงเรียน
การเรียนรู้ชุมชนแบบประชาสังคม เป็นการสร้างพื้นที่ให้กับชุมชนแห่งความจริงได้ฝึกฝนตนเอง”
แต่ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแล้ว รูปแบบการสอนในยุคบุกเบิกยังคงมีอิทธิพลอยู่อย่างเหนียวแน่นในยุคปัจจุบัน
ปาร์กเกอร์ เจ. ปาล์มเมอร์ (Parker
J. Palmer, 2557) กล่าวว่า
รูปแบบการเรียนรู้ที่แพร่หลายอยู่ทั่วไปในระบบการศึกษานั้น
เป็นสิ่งที่แยกครูอาจารย์ออกจากวิชาที่สอนและนักเรียนนักศึกษา
เพราะมันหยั่งรากอยู่ในความกลัว รูปแบบดังกล่าวนี้เรียกว่า วัตถุวิสัย (Objectivism) ซึ่งอธิบายว่า
ความจริงเป็นสิ่งที่เราเข้าถึงได้ด้วยการแยกตัวเราเองออกจากสิ่งที่อยากรู้
ทั้งร่างกายและอารมณ์ ในโลกของวัตถุวิสัยนิยม อัตวิสัย (Subjectivism) เป็นเรื่องที่น่ากลัว ไม่เพียงเพราะมันทำให้สิ่งต่าง ๆ
แปดเปื้อนเท่านั้น แต่เพราะมันสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสิ่งเหล่านั้นด้วย
และความสัมพันธ์นี้ก็กำลังแปดเปื้อนด้วยเช่นกัน
เมื่อสิ่งหนึ่งมิได้เป็นเพียงวัตถุอีกต่อไปและกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราที่มีปฏิสัมพันธ์ได้และมีชีวิตชีวา
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร เช่น งานศิลปะสักชิ้น ชนเผ่าพื้นเมืองหรือระบบนิเวศ
มันอาจจะควบคุมเราและทำให้เราลำเอียงเข้าข้างมัน
ด้วยเหตุนี้มันจึงคุกคามความบริสุทธิ์ของความรู้อีกครั้ง
สำหรับวัตถุวิสัยนิยม
การแสวงหาความรู้ที่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องเชิงอัตวิสัยระหว่างผู้รู้และสิ่งรู้จะถือว่าล้าหลัง
เชื่อถือไม่ได้และถึงกับอันตรายด้วยซ้ำ
ส่วนสัญชาตญาณถูกเยาะเย้ยว่าเป็นสิ่งไร้เหตุผล
ความรู้ที่แท้จริงก็ถูกเมินว่าอ่อนไหวเกินเหตุ จินตนาการก็ถูกมองว่าสับสนอลหม่านและไร้ระเบียบ
และการเล่าเรื่องก็ถือว่า เป็นเรื่องส่วนตัวและไม่มีแก่นสารอะไร
นี่ ทำให้ดนตรี
ศิลปะและการเต้นรำตกไปอยู่อันดับล่างสุดของการจัดลำดับชั้นทางวิชาการ
โดยมีศาสตร์ที่แข็ง (Hard Science) อยู่ชั้นบนสุด
นี่เป็นเหตุให้ผู้ศึกษาในสาขาวิชาที่เรียกว่าศาสตร์อ่อน (Soft Science) ทำวิจัยแบบวัตถุวิสัยนิยมมากกว่าด้านอัตวิสัย
“นักเรียนโรงเรียนมีชัยพัฒนาใช้การวิจัยผสมผสานระหว่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า
บันไดชีวิต (Bamboo Ladder Technique)
รวบรวมข้อมูล ในวิชานักพัฒนาสังคม การสอนตามแนวปฏิรูปสังคม (Social Reform)”
แนวคิดวัตถุวิสัยนิยมได้กันตัวคนให้ไกลห่างจากโลกและบิดเบือนความสัมพันธ์ที่เรามีกับวิชาของเรา
นักเรียนของเราและกับตัวเราเอง เรารู้ผ่านการเชื่อมสัมพันธ์กับโลก
ไม่ใช่ตัดทอนจากโลก การรู้เป็นการที่เราสร้างชุมชนกับสิ่งอื่นที่ไม่มีอยู่
กับความจริงที่อาจหลุดรอดการรับรู้ของเราไปได้
หากปราศจากเนื้อเยื่อเกี่ยวพันแห่งความรู้
ปาร์กเกอร์ เจ. ปาล์มเมอร์ กล่าวสรุปว่า การรู้เป็นวิถีทางที่มนุษย์แสวงหาความสัมพันธ์
และในกระบวนการนี้จะมีการเผชิญหน้าและแลกเปลี่ยนที่จะทำให้เราเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ถ้าให้ลึกที่สุด การรู้เป็นสมบัติของชุมชนเสมอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น