สุริยา
เผือกพันธ์ : เขียน
“ถ้ามีใครสักคนมาบอกว่า นักเรียนในโรงเรียนเล่นดนตรีเป็นหมดทุกคน
ไม่เฉพาะคุณหรอกที่ทำหน้าฉงนสนเท่ห์ แม้แต่โฮเวริ์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) เจ้าของทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple
Intelligent) อาจต้องทึ่งในทฤษฎีของตน”
คำสำคัญ (Key Words): กระบวนการคิด (Cognitive learning) สิ่งประดิษฐ์ (Artifact) การประเมินผลการปฏิบัติงาน (Competency or Performance based
Assessment), เส้นโค้งปกติ (Normal Curve) พหุปัญญา
(Multiple Intelligent)
“ผมมาครั้งแรกผมเล่นไม่เป็น”
ชาญณรงค์ เชนด์สโต นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 บอกถึงความสามารถในการเล่นดนตรี (อูคูเลเล่) ของเขา
“อยู่ไม่นานพี่
ม. 2 มาเล่นให้ฟังหนึ่งเพลง
แล้วสอนให้พวกผมเล่นแบบตัวต่อตัว ใช้เวลาเรียนคอร์ด ดีดจังหวะและร้องด้วย 2
ชั่วโมง แล้วแยกย้ายกันไปซ้อม” เขาเล่าวิธีการเรียนการเล่นอูคูเลเล่จากนักเรียนรุ่นพี่วัยใกล้เคียงกันให้ฟัง
“ก็ซ้อมครั้งละเล็กละน้อยจนจบเพลง
แล้วก็นัดมารวมวงทั้งห้อง ซ้อมเล่นพร้อมกันทั้งหมดใช้เวลาหนึ่งเดือนครึ่งพวกผมก็เล่นได้
2 เพลงและมีโอกาสเล่นให้ผู้ปกครองฟังมาหนึ่งรอบแล้ว” ชาญณรงค์เล่าสรุปผลการเรียนรู้ทักษะด้านดนตรีในกลุ่มชั้นเดียวกัน
ซึ่งเล่นได้หมดทุกคน
โฮเวริ์ด
การ์เนอร์ (Howard Gardner) กล่าวว่า
การเรียนรู้ที่หลากหลายสไตล์และการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะกับเด็ก ๆ ทุกคน
ไม่อาจหาได้ในวิธีเรียนแบบเก่า”
"เด็กชายชาญณรงค์ เชนด์สโต และเพื่อน ๆ เรียนดนตรีจากมาตรฐานของตนเอง"
"เด็กชายชาญณรงค์ เชนด์สโต และเพื่อน ๆ เรียนดนตรีจากมาตรฐานของตนเอง"
สิ่งที่เรากำลังทำขณะนี้คือ การสร้างสิ่งแวดล้อมเพื่อสะท้อนผลการเรียนรู้ให้ได้ดี
ซึ่งก็คือการประเมินการทำงานของนักเรียนจริง ๆ
ดังนั้นเราจึงมีความสนใจน้อยในการประเมินเรื่องความจำตามวิธีการประเมินผลแบบเดิมกล่าวคือ
การประเมินข้อเท็จจริง คำจำกัดความ
กระบวนการที่เป็นขั้นตอน
งานที่ทำซ้ำ สิ่งที่จำได้และจำได้ว่าทำอย่างไร
นั่นเป็นการทดสอบแบบดั้งเดิม แต่ตามความหมายใหม่นี้ เราเริ่มที่จะประเมินผลงานที่เป็น
สิ่งประดิษฐ์ (Artifact) ความรู้ประดิษฐ์ (knowledge
artifacts) ที่นักเรียนผลิตมากขึ้น
ดังนั้น สิ่งที่เราเคยเห็นผลงานของพวกเขา เช่น
รายงาน และความจำสำคัญ ๆ เกี่ยวกับความจริง หรือการจำคำจำกัดความที่เราเคยเห็น จะมีความสำคัญน้อยกว่า
การสร้างงาน ที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ (Artifact) จะเห็นได้ว่า
มันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการประเมินจริง ๆ ที่มีการประเมินความจำน้อยกว่า
การประเมินการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการคิดทั้งหมด ที่ทำให้พวกเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือนักภูมิศาสตร์ได้
และการผลิตเอกสารก็คล้ายกับเอกสารของนักวิทยาศาสตร์และนักภูมิศาสตร์ทำขึ้น
การประเมินสิ่งประดิษฐ์จึงเป็นหลักฐานจากการปฏิบัติ
และแน่ละมันจะมีกระบวนการคิดรวมอยู่ในสิ่งประดิษฐ์นั้นด้วย มันเป็นความคิดระดับสูงกว่าความรู้ความจำ
เช่น การคิดวิพากษ์วิจารณ์ การแก้ปัญหา การประยุกต์ใช้ เป็นต้น
"เส้นโค้งปกติรูประฆังค่ำ (Normal Curve) แสดงการแจกแจงความถี่"
"เส้นโค้งปกติรูประฆังค่ำ (Normal Curve) แสดงการแจกแจงความถี่"
ถ้าเราเคยเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องสติปัญญาและความร่วมมือของกลุ่ม
ในรูประฆังคว่ำที่เป็นรูปแบบดั้งเดิมนั้น ได้ให้ความหมายอะไรแก่เรา มันเป็นการกระจายแบบปกติที่โยนเด็กเข้าไปในระฆังคว่ำ
และเด็ก ๆ เหล่านี้ จะถูกแยกเป็นสามส่วนคือ แย่มาก กลาง ๆ และดีมาก
ที่เป็นอย่างนี้เพราะเราต้องการระบบการให้รางวัลแก่คนที่ประสบความสำเร็จ
ในขณะที่ยังมีคนล้มเหลวและคนที่อยู่ระดับกลาง ๆ อยู่ด้วย ความร่วมมือจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
นอกจากต้องแข่งขันกัน
แล้วจะสร้างสิ่งแวดล้อมที่ให้มีการทำงานแบบร่วมมืออย่างไร
ในขณะที่เรายังอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีการทดสอบแบบดั้งเดิม แบบเอาแด็กใส่ลงไปในระฆังคว่ำ
แล้วขึงพืดเด็กมัดกับเส้นโค้ง ร่ายมนต์ตัวเลขเสกสถิติให้มีความขลัง
การประเมินแนวใหม่มีความแตกต่างอย่างไร
แตกต่างมาก เพราะว่าสิ่งที่เราสนใจมากไปกว่านี้คือ การประเมินสมรรถนะและผลการปฏิบัติงาน
(Competency
or performance based assessment) ที่ซึ่งจะทำให้เด็กทุกคนผลิตผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขา
เราไม่ต้องการเห็นเด็กคนหนึ่งล้มเหลวในขณะที่อีกคนหนึ่งได้รางวัลของความสำเร็จ
และอะไรคือ สิ่งที่เราต้องทำให้เด็กทุกคนประสบความสำเร็จ มันไม่ใช่เรื่องตลก
เราไม่ต้องการทอดทิ้งเด็กคนใดคนหนึ่งให้อยู่เบื้องหลัง
รูประฆังคว่ำทำให้พวกเขาถูกทอดทิ้ง เพราะมันเป็นวิธีเดียวที่อธิบายให้รู้ว่า เด็ก
ๆ หรือผู้เรียนจะได้รับความสำเร็จ
และบอกให้รู้ถึงคนที่อยู่ระดับกลาง ๆ และคนล้มเหลวได้ด้วย
แล้วเราจะทำอย่างไร
ขอให้เรากลับไปที่กระบวนการอันน่าทึ่งนั้น
เราคงเคยทำงานชิ้นเล็ก ๆที่ไม่ยิ่งใหญ่อะไร และอาจไม่ได้รับความน่าเชื่อถือในงานนั้น
ๆ ด้วย ทั้ง ๆ เราที่เคยให้เวลากับมันมาก
ๆ มาแล้ว เราเคยกลับไปทำอีกและปรับปรุงแก้ไขไปเรื่อย ๆ
ต่อมาเมื่อเราได้รับการแนะนำจากคนที่เคยประสบความสำเร็จในงานนั้นมาแล้ว
ทำให้เราสามารถเปลี่ยนแปลงงานเล็ก ๆ ได้ ภายใต้คำแนะนำและการเฝ้ามองจากผู้รู้ เราใช้เวลาทำงานส่วนนั้นอย่างใจจดใจจ่อ
แล้วงานนั้นก็ดีขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ
งานชิ้นต่อ ๆ ไป ซึ่งดีหรือไม่ดีจะอยู่กับคนแต่ละคน และจริง ๆ การเรียนรู้แบบเดียวกันนี้
ในงานอื่น ๆ ของคนอื่น ๆ ก็ดีขึ้นได้เช่นเดียวกัน เราต้องการยืนยันว่ามันดีเยี่ยมได้
แต่กลายเป็นว่าเดี๋ยวนี้เราต้องการดันเด็กขึ้นไปสู่มาตรฐานของงานที่อยู่ไกลไปจากความสามารถของเขา
ซึ่งทำไม่ได้
"การเล่นดนตรีต้อนรับคณะศึกษาดูงานเป็นชีวิตประจำวันของนักเรียนโรงเรียนมีชัยพัฒนา"
"การเล่นดนตรีต้อนรับคณะศึกษาดูงานเป็นชีวิตประจำวันของนักเรียนโรงเรียนมีชัยพัฒนา"
ความสำเร็จเล็ก
ๆเหล่านี้ เมื่อถูกตีพิมพ์หรือเป็นส่วนหนึ่งของแฟ้มผลงาน (Portfolio) มันจะทำให้เด็กคนอื่น ๆ ได้เห็น บางอย่างที่เรารู้สึกว่ายากและไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร
เราจะรู้วิธีการก็ต่อเมื่อเราได้เห็นบางคนทำให้ดู ลำพังเราไม่สามารถนึกออกถึงวิธีการนั้น
ดังนั้น
เด็ก ๆ ที่ไม่สามารถทำอะไรได้ดี แต่ถ้าได้เห็นตัวอย่างว่าทำอย่างไร
ก็สามารถจะทำได้แม้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นจะผ่านมาเป็นปีก็ตาม
ดังนั้น
อยากจะกล่าวถึงเรื่องการสร้างสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับความร่วมมือนั้นทำอย่างไร ทำไมนักเรียนจึงไม่ประสบความสำเร็จ วิธีการแบบดั้งเดิมทำให้เกิดความล้มเหลว
อย่างที่กล่าวมาแล้ว
ปัจจุบัน
เรากำลังใช้กระบวนการเพิ่มพูน (Incremental process) เป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร
เราไม่ต้องการไปถึงจุดที่ดีที่สุด (The Best) เลยทีเดียว
เราต้องการทำดีที่สุดจากการทำแบบค่อย ๆ ดีขึ้น ไปเรื่อย ๆ เพื่อไปหามาตรฐาน
ซึ่งเป็นงานที่ยาก แต่สิ่งที่เราพบคือ
ความพยายามแล้วพยายามอีกเพื่อให้ความสำเร็จเล็ก ๆ เป็นสิ่งดึงดูดใจไปสู่ผลลัพธ์ของผู้เรียนได้
ดังนั้น ในขณะที่แนวคิดแบบเดิมอยู่ในระบบที่ใช้ผลลัพธ์เป็นฐาน
การศึกษาใหม่ให้เหตุผลว่า สิ่งแวดล้อมที่ใช้ในกระบวนการเพิ่มพูนดังกล่าวนี้
จะสร้างสังคมแห่งความร่วมมือและแบ่งปันมาเป็นฐานการเรียนรู้
"การประเมินมิติใหม่สอดคล้องกับการจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้แบบร่วมมือและแบ่งปัน"
"การประเมินมิติใหม่สอดคล้องกับการจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้แบบร่วมมือและแบ่งปัน"
เราอาจเคยเห็นคนอื่น
ๆ ได้ทำ แล้วจะทำให้รู้ด้วยตนเองว่าเราสามารถทำได้แค่ไหน นั่นคือ มาตรฐานของตนเอง
จะทำให้รู้ว่าจุดเริ่มของความหวังเราอยู่ระดับใด และจะเป็นจุดเริ่มที่จะไปถึงความสำเร็จนั้น
แล้วเริ่มที่ตรงนั้น หลักสูตรการศึกษาแบบนี้จะไม่มีคนล้มเหลว
ผลการเรียนวิชาดนตรีในชั้นเรียนของชาญณรงค์
เชนด์สโต และเพื่อน ๆ เมื่อนำมาแจกแจงความถี่ แล้วสิ่งที่หายไปคือ
รูประฆังคว่ำ (Normal Curve) ไม่มีเพื่อนคนใดถูกทอดทิ้ง (No Child to be left behind)