วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ฝึกงาน (Apprenticeship) กับผู้เชี่ยวชาญ (Master Practitioner) เพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญ (Master based Learning)


                                                                                                                                     
                                                                                                                สุริยา เผือกพันธ์:  เขียนและเรียบเรียง

               "ใช่หรือไม่ ! ในสังคมฐานความรู้ (Knowledge- based Society) ความรู้นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมและการมีรายได้ ซึ่งปัจจุบันกล่าวกันว่า มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ความรู้ที่ทำให้เกิดรายได้ (Commercial knowledge) ต่างจากความรู้ทางวิชาการ (Academic knowledge) จริงหรือ"


คำสำคัญ: การฝึกงาน (Apprenticeship), ผู้เชี่ยวชาญ (Master Practitioner), Master based Learning, ความรู้ระดับลึก (Deeply knowledge) 

                การเตรียมคนรุ่นใหม่ ด้วยการให้การศึกษาที่เน้นการอ่านออกเขียนได้และคิดเลขเป็นไม่เพียงพอต่อการส่งเสริมพัฒนาทักษะด้านการคิดและการสร้างสรรค์ โรงเรียนมีชัยพัฒนา ให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อนักเรียนในชนบท ด้วยการมุ่งไปสู่การพัฒนานักเรียนแต่ละคนให้เต็มศักยภาพ ผ่านหลักสูตรการเรียนที่เน้นการสร้างนักเรียนให้สามารถคิดวิเคราะห์และสร้างสรรค์โดยใช้สถานการณ์จริง (Real World Experience)

                การฝึกงานเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนการสอน โดยใช้วิชาธุรกิจเพื่อสังคมเป็นบทเรียน และเพื่อให้เกิดผลย้อนกลับสู่ชุมชน รายได้ส่วนหนึ่งจากการประกอบกิจการจึงถูกแบ่งปันเป็นทุนการศึกษาหรือทุกคืนกลับสถาบัน อันเป็นการเรียนรู้การเป็นผู้ให้

                ความจำได้หมายรู้จากการฝึกงานเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน เป็นปรากฏการณ์ที่รับรู้ได้ โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ เป็นการพัฒนาการเรียนรู้จากการได้ดูได้เห็น การทำความเข้าใจในขั้นตอนต่าง ๆ ที่ชัดเจน การปฏิบัติด้วยวิธีการเฉพาะ ซึ่งเป็นบทบาทของครูและผู้เรียนหรือไม่ก็เป็นการฝึกทำซ้ำ ๆ แบบเดิมหรือฝึกกระบวนการคิด

                แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของการจำตามความหมายนี้คือ คนเราไม่สามารถเรียนรู้จากสิ่งไกลตัว แต่เรียนรู้ท่ามกลางการลงมือปฏิบัติ ที่เป็นพลวัต ไม่ตายตัวและมีลักษณะทำซ้ำ ๆ ในสถานการณ์จริง



                            "คุณประสาน สนทนา ผู้เชี่ยวชาญไฮโดรโพนิคส์กับนักเรียนฝึกงาน"

                แพรตและจอห์นสัน (Pratt and Johnson, 1978) และฌอน (Schon, 1983) ได้ให้คำนิยามคุณลักษณะของผู้เชี่ยวชาญ (Master practitioner) ที่เป็นตัวแบบ (Model) ของการเรียนรู้ว่า เป็นบุคคลผู้มีความรู้ที่ใช้ทักษะพิเศษในการปฏิบัติงาน ซึ่งหมายถึง

1.             เป็นผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญและสามารถประยุกต์ใช้ความรู้กับการปฏิบัติงานที่ยาก
2.             เป็นผู้มีการจัดรูปที่ดี มีแบบแผนการทำงานและส่งเสริมการใช้ความรู้ใหม่ ๆ
3.             เป็นคลังของความรู้ที่ดี ให้ความรู้ใหม่ ๆ สร้างแผนและบูรณาการการประยุกต์ใช้ความรู้และ
ทักษะในบริบทต่าง ๆ
4.             เป็นผู้สร้างแรงจูงใจให้เกิดการเรียนรู้ เป็นตัวชี้วัดหนึ่งของชุมชนแห่งการปฏิบัติ ที่จูงใจให้
ผู้เรียนรู้ว่า การมุ่งไปสู่ความสำเร็จมิได้เกิดขึ้นง่าย ๆ แต่ต้องอาศัยความรู้จากที่ต่าง ๆ
5.             เป็นผู้สอนเทคนิคต่าง ๆ โดย
5.1      เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติและคาดคะเนผลได้
5.2      เกิดขึ้นโดยไม่ได้เตรียมการมาก่อน
5.3      ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นยากแก่การอธิบาย

ในชุมชนมีผู้เชี่ยวชาญ (Master practitioner) ในสาขาอาชีพต่าง ๆ คนเหล่านี้ สร้างความเข้มแข็งให้
ชุมชนทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม แต่ก็ยังแปลกอยู่ที่โดยทั่วไป ระบบการศึกษาในประเทศไทยมักไม่ค่อยให้ความสำคัญในการนำเอาความเชี่ยวชาญเหล่านั้นมาใช้เพื่อการเรียนรู้


                                      "ครูศิริพร จันทสอนกับนักเรียนฝึกงานวิชาชีพเลี้ยงไก่ไข่"

                โรงเรียนมีชัยพัฒนา ได้สร้างสถานประกอบการด้านการเกษตรขึ้นภายในโรงเรียนเพื่อเป็นแหล่งผลิตอาหารแก่นักเรียน ครูและบุคลากรในโรงเรียน ในการนี้ได้ใช้ภูมิปัญญาด้านการเกษตรจากผู้เชี่ยวชาญในชุมชนมาเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้และทักษะแก่นักเรียน โดยใช้สถานประกอบการดังกล่าวเป็นสถานที่ฝึกงาน (Apprenticeship)

                สถานประกอบการประกอบด้วยวิชาชีพต่าง ๆ เช่น การปลูกมะนาวนอกฤดู (คุณสมพร โพธิ์ไข่ คุณวิฑูรย์ มานะดี) การเลี้ยงไก่ไข่ (คุณพฤหัส ตันศร) การผลิตเห็ด (คุณวัชรินทร์ จันทพันธ์) การปลูกผักหน่อไม้ฝรั่งและข้าวในวงบ่อ (คุณชัชวาล บัวลา คุณสมบัติ เสริมไธสง) การปลูกผักในกระถางและเกษตร รถเข็ญ (คุณสมจิตร์ ลาคำ) การเพาะกล้า/ไม้ดอกไม้ประดับ (คุณใช้ ชนะเกียรติ) การทำปุ๋ยหมักและน้ำหมักเพื่อการเกษตร (คุณวิศิษย์ สวงรัมย์) เกษตรแซนโดรโพนิคส์ (คุณสมภพ พุทธรักษา) เกษตรไฮโดรโพนิคส์ (คุณประสาน สนทนา) และการเลี้ยงไก่พื้นเมือง (คุณเสรี หาญชนะ)

                นอกจากนักเรียนจะได้เรียนรู้การประกอบวิชาชีพเหล่านี้จากผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้าน เพื่อเป็นธุรกิจแล้ว ครูโรงเรียนมีชัยพัฒนาทุกคนยังได้เสริมความรู้ทางด้านวิชาชีพต่าง ๆ ดังกล่าว เพื่อเป็นที่ปรึกษาแก่นักเรียนในระยะยาวอีกด้วย


          "คุณเสรี หาญชนะผู้เชี่ยวชาญและครูสุรเดช พะวรกับนักเรียนฝึกงานการเลี้ยงไก่พื้นเมือง"

แพรตและจอห์นสัน (Pratt and Johnson, 1978) ได้แบ่งการฝึกงานออกเป็น 2 รูปแบบคือ การฝึกซ้ำตามแบบเดิมและการฝึกกระบวนการคิด การฝึกซ้ำตามแบบเดิม เป็นประสบการณ์บนพื้นฐานการพัฒนาทักษะด้วยมือและส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาไปสู่ความเชี่ยวชาญนั้นแบบค่อยเป็นค่อยไปด้วย

การเรียนรู้และประสบการณ์เหล่านี้เป็นการสร้างแรงบันดาลใจในการแสวงหาแบบไม่มีขีดจำกัด ของผู้เรียน เพราะเป็นการเรียนรู้จากผู้ประสบความสำเร็จ (Models) ได้เห็นตัวอย่างจริง ๆ อันจะนำไปสู่ความรู้ระดับลึก (Deeply Knowledge) เพื่อความเป็นผู้เชี่ยวชาญในที่สุด


วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บันไดชีวิตนักเรียน (Bamboo Ladder): ส่วนขยายของโครงการร่วมพัฒนาหมู่บ้าน


                                                                                                                                          สุริยา เผือกพันธ์ เขียน

“สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน เชื่อว่าหนทางที่จะขจัดความยากจนได้ คือ การทำธุรกิจ เพื่อเปลี่ยนความช่วยเหลือจากแบบสังคมสงเคราะห์ไปสู่การส่งเสริมให้ชาวบ้านมีทักษะในการทำธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านอื่น ๆ โดยใช้หลักการมีส่วนร่วม”

คำสำคัญ : บันไดชีวิต (Bamboo Ladder), โครงการร่วมพัฒนาหมู่บ้าน, ธุรกิจเพื่อสังคม, นักพัฒนาสังคม,
ต้นทุนทางสังคม (Social capital)

                โครงการร่วมพัฒนาหมู่บ้านหรือ Village Development Partnership (VDP) เป็นโครงการพัฒนาแบบองค์รวมระดับหมู่บ้าน เพื่อขจัดปัญหาความยากจนที่เป็นต้นเหตุของปัญหา ไม่ใช่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุด้วยวิธีการช่วยเหลือแบบสังคมสงเคราะห์ ซึ่งเป็นวิธีเก่าใช้ไม่ได้ผล สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน เชื่อว่าหนทางที่จะขจัดความยากจนได้ คือ การทำธุรกิจ เพื่อเปลี่ยนความช่วยเหลือจากแบบสังคมสงเคราะห์ไปสู่การส่งเสริมให้ชาวบ้านมีทักษะในการทำธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านอื่น ๆ โดยใช้หลักการมีส่วนร่วม เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของโครงการ ตามทางการพัฒนาแบบยั่งยืน ชาวบ้านจะมีส่วนร่วมการพัฒนาทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่ระดมความร่วมมือจากชาวบ้านเพื่อศึกษาและจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตหมู่บ้าน ร่วมกันคัดเลือกคณะกรรมการพัฒนาหมู่บ้าน เพื่อเป็นตัวแทนสะท้อนความคิดความต้องการของชาวบ้านและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาหมู่บ้าน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความยั่งยืนแม้การสนับสนุนของหน่วยงานจะสิ้นสุดแล้ว กิจกรรมพัฒนาในหมู่บ้านยังคงสามารถดำเนินต่อไปได้ โดยสมาคมฯ เป็นเสมือนพี่เลี้ยงคอยให้คำปรึกษา

                โครงการร่วมพัฒนาหมู่บ้าน เป็นการดำเนินการเพื่อสร้างความเป็นหุ้นส่วนระหว่างหมู่บ้านในชนบทกับผู้สนับสนุนโครงการ ซึ่งอาจเป็นบุคคล ครอบครัว องค์กร หรือธุรกิจเอกชนที่มีความประสงค์จะช่วยเหลือชาวชนบท โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่มีแนวคิดในการทำกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility) ซึ่งสามารถเข้ามาเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาชนบทและเลือกรูปแบบการมีส่วนร่วมตามนโยบาย ทรัพยากรและทักษะความชำนาญของบริษัท โดยบริษัทสามารถให้การสนับสนุนทั้งในรูปแบบของเงินทุน ความเชี่ยวชาญและทักษะความรู้ต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ชาวบ้านได้ริเริ่มธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจชุมชน ซึ่งถือเป็นกิจกรรมหลักในกระบวนการพัฒนาของของโครงการและเป็นการรวมความเชี่ยวชาญทางการประกอบธุรกิจของบริษัทและความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาบทบาทของสมาคม ฯ เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งผลรวมของความร่วมมือนี้ จะแผ่ขยายไปยังการพัฒนาระดับประเทศจนถึงระดับภูมิภาค


                            "นักเรียนโรงเรียนมีชัยพัฒนาทำการประเมินคุณภาพชีวิตตนเอง"

                โครงการร่วมพัฒนาหมู่บ้าน มีผู้สนับสนุนหลักคือ Bill and Melinda Gates Foundation ซึ่งให้การสนับสนุนโครงการภายใต้ชื่อ Village Development for Sustainable Health Development and Poverty Alleviation Project (VDP-GATE) มีระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (มกราคม 2552- ธันวาคม 2555) ซึ่ง ณ บัดนี้ได้สิ้นสุดโครงการแล้ว

                บันไดชีวิตนักเรียน (Bamboo Ladder) เป็นกิจกรรมส่วนขยายที่พัฒนามาเป็นหลักสูตรของสถานศึกษาในรายวิชานักพัฒนาสังคม ที่มีเนื้อหาแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
1) การเตรียมนักเรียน การจัดตั้งองค์กรนักเรียน หรือคณะกรรมการบริหารนักเรียน การจัดทำบันไดชีวิตนักเรียน การประเมินความต้องการของโรงเรียนเพื่อจัดทำแผนพัฒนาโรงเรียนหรือ Community Need (CNA) การจัดทัศนศึกษาดูงานหรือ Eye Opener Tripและการทบทวน CAN และปรับปรุงแผนพัฒนา
2) แนวทางการพัฒนาโรงเรียน ประกอบด้วยการปลูกต้นไม้เพื่อและเปลี่ยนเงินทุนธนาคารโรงเรียน การจัดตั้งธนาคารโรงเรียนและการดำเนินกิจกรรมตามแผนพัฒนาโรงเรียน (CNA)
เนื้อหาหลักสูตรดังกล่าวใช้เวลาศึกษาเรียนรู้ 2 ภาคเรียนโดยส่วนที่ 1 เรียนในภาคเรียนที่ 1 และส่วนที่ 2 เรียนในภาคเรียนที่ 2

               หลังการจัดตั้งองค์กรนักเรียนในรูปคณะกรรมการระดับต่าง ๆ นักเรียนจะเรียนรู้วิธีการจัดทำบันไดชีวิต โดยใช้เทคนิคบันได (Ladder Technique) ทั้งนี้เพื่อทำให้ทราบทัศนคติ ความนิยม รวมไปถึงการให้คุณค่าของแต่ละบุคคลและชุมชนที่มีต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นวิธีการที่จะได้รับทราบสภาพของชุมชนผ่านทางสายตาของคนในชุมชนและเป็นการศึกษาชุมชนอย่างเป็นองค์รวม (Holistic) นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างความคุ้นเคยกับชุมชนและร่วมกันกำหนดทิศทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยสมาชิกของชุมชนเอง

              กระบวนการเหล่านี้เป็นการเรียนรู้ถึงต้นธารของการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน การที่คนในชุมชนมารวมตัวกันแล้วจัดรูปเป็นองค์กรการจัดการ มีการเรียนรู้ที่ทรงพลัง ด้วยการวิเคราะห์ปัญหา วินิจฉัยปัญหา วิเคราะห์ทางเลือกและตัดสินใจเลือกที่ถูกต้อง


                                         "นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์คุณภาพชีวิตตนเองในระดับชั้นเรียน"

               การรวมตัวของคนในชุมชนทำให้เกิดต้นทุนทางสังคม (Social capital) บวกกับการมีการจัดการและการเรียนรู้ จะทำให้ศักยภาพในการแก้ปัญหาของชุมชนเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีขีดจำกัด สามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง

               โรงเรียนเป็นชุมชนหนึ่งที่มีความหลากหลายทางคุณวุฒิ วัยวุฒิ เช่นสังคมโดยทั่วไป การจัดหลักสูตรเพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริงในโรงเรียน เป็นการเตรียมความพร้อมให้เยาวชนได้มีโอกาสพัฒนาทักษะชีวิตเพื่อนำไปใช้ในสังคมแห่งศตวรรษที่ 21 อันเป็นสังคมที่จะมีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นในอนาคตข้างหน้า


วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ความรู้ก็ต้องการประชาธิปไตย (Democratization of Knowledge)




                                                                                                                            สุริยา เผือกพันธ์ : เรียบเรียง

                “ถ้าการศึกษาทางเลือกต้องการเสรีภาพเป็นดั่งท้องทะเลแห่งการเลือก การเรียนรู้ต้องการผืนฟ้ากว้างเป็นพื้นที่ของการแสวงหายิ่งกว่า”

คำสำคัญ : ประชาธิปไตยของความรู้ (Democratization of Knowledge) การเรียนรู้แบบสืบค้น (Inquiry Approach) การศึกษานอกระบบ, การศึกษาในระบบ

                แทบไม่น่าเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นจริงในสังคมการสื่อสารบนโลกใบนี้ เชอริล เลมเก (Cheryl Lemke, 2554: 359) ได้กล่าวว่า อินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในศตวรรษที่ 21 ตัวเลขที่เกิดขึ้นน่าตกใจมาก
                มีการเฉลิมฉลองการเชื่อมต่อในระบบโทรศัพท์มือถือครบ 4,000 ล้านเลขหมาย ในปี 2009
                มี URL ที่ไม่ซ้ำกันกว่าหนึ่งล้านล้านรายการในดัชนีของกูเกิ้ล
                มีผู้ชมคลิปวิดีโอ Guitar เกือบ 61 ล้านครั้งบนยูทูบ
                มีการโพสต์ในบล็อกโดยเฉลี่ย 9 แสนโพสต์ ทุก 24 ชั่วโมง
                มีการทวีตมากกว่า 2,500 ล้านข้อความบนทวิตเตอร์
                กูเกิ้ลซื้อยูทูบในปี 2006 ด้วยราคา 1.65 พันล้านดอลลาร์
                มีคนกว่าร้อยล้านคนเข้าเฟสบุ๊คทุกวันและ
                ทั่วโลกใชเวลาประมาณ 2.6 พันล้านนาทีต่อวันหมดไปกับการเล่นเฟสบุ๊คใน 35 ภาษา



                ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น !!!!
                ร้อยละ 96 ของเด็กอายุ 9 – 17 ปี รับเอาวัฒนธรรมเว็บ 2.0 มาใช้สร้างเครือข่ายสังคม เขียนบล็อก ทวีตข้อความ ทำแผนที่ จีพีเอส และเล่นเกมออนไลน์ เยาวชนเหล่านี้สื่อสารกันทันที ผ่านการส่งข้อความและการแบ่งปันไฟล์ต่าง ๆ นอกโรงเรียน
                ทั้งหมดที่กล่าวถึง เป็นวัฒนธรรมของเด็กอเมริกัน
                ถ้าการทำให้แน่ใจว่านักเรียนทุกวันนี้พร้อมจะใช้ชีวิต เรียน ทำงานและเติบโตในโลกไฮเทค โลกที่เปลี่ยนเป็นหนึ่งเดียวและโลกแห่งการมีส่วนร่วม เหล่านี้คือ ความรับผิดชอบของนักการศึกษาแล้ว ระบบโรงเรียนของสหรัฐอเมริกา ดูจะต่อไม่ติดกับวัฒนธรรมของสังคมปัจจุบันเลย
                หนำซ้ำโรงเรียนจำนวนมาก กลับตรวจค้นเครื่องมือทางเทคโนโลยีของนักเรียน (เช่น สมาร์ทโฟน โทรศัพท์ มือถือ ไอพอด ไอทัช) ที่ประตูทางเข้าโรงเรียนอีกต่างหาก
                ดูเหมือนว่าทุกหนแห่งจะหวาดระแวงกับการใช้เทคโนโลยีของเด็กและเยาวชนไปเสียหมด ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งสังคมไทย
                เพราะปรากฏการณ์ของการใช้สื่อของคนกลุ่มนี้เป็นไปในทางบันเทิงและล่อแหลมต่อคุณค่าทางจริยธรรมอย่างยิ่ง

                เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้นำเครื่องมือทางเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ จึงควรมีหลักสูตรการใช้เทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์ แทนการใช้กฎข้อห้ามอย่างเข้มงวด เพราะแท้จริงแล้วไม่มีข้อห้ามใดศักดิ์สิทธิ์เพียงพอ ต่อการห้ามปรามการใช้เทคโนโลยีของเด็กในช่วงเวลาที่พวกเขาพ้นจากรั้วโรงเรียนไปแล้วได้เลย



                เชอริล เลมเก อ้างอิงถึงงานวิจัยของบริดเจ็ต บาร์รอน (Bridget Barron) นักวิจัยจากสแตนฟอร์ต แนะนำว่า ควรสร้างโอกาสแห่งการเรียนรู้นอกระบบในรูปแบบต่าง ๆ แล้วบูรณาการเข้ากับการเรียนรู้ในระบบและเพื่อสร้างหลักประกันว่า นักเรียนจะได้รับความรู้และเกิดความเชียวชาญในการสำรวจ การมีปฏิสัมพันธ์และการเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมดิจิทัล จึงควรทำความรู้ให้เป็นประชาธิปไตย (Democratization of Knowledge) ด้วยการเรียนรู้การเข้าถึงแหล่งข้อมูลอย่างสร้างสรรค์ เช่น
                การท่องอินเทอร์เน็ต นำคำว่ากูเกิ้ล มาใช้อย่างมีเป้าหมาย โรงเรียนควรทำงานกับนักเรียนในการค้นหาข้อมูล อย่างรู้จักใช้ สำรวจ ตรวจสอบ วิพากษ์ วิจารณ์ ความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล
วัตถุการเรียนรู้ เป็นทรัพยากรที่สมบูรณ์ในตัวเอง มักอยู่ในรูปแบบดิจิทัลและ/หรือบนเว็บไซด์ซึ่งนำมาใช้และใช้ซ้ำ เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ได้ เช่น วิดีโอบนยูทูบ ไฟล์เสียงและ/หรือ วิดีโอสำหรับไอพอด เว็บไซด์แบบโต้ตอบ สไลต์ที่มีคำบรรยายและอื่น ๆ
แบบจำลอง นักเรียนจะเรียนรู้ได้ลึกซึ้งเมื่อพวกเขาสามารถทดลองปรับตัวแปรต่าง ๆ ในแบบจำลองได้
วิชาเรียนที่เผยแพร่ในมหาวิทยาลัย ในปัจจุบันเว็บไซด์ MIT (Courseware และ Rice Connexions) ได้เผยแพร่วิชาเรียนจำนวนนับพันสู่สาธารณชน iTunes University ก็เป็นอีกแหล่งหนึ่งและในปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นคือ Coursera หลักสูตรออนไลน์ที่เกิดจากความร่วมมือของมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก
วิชาเรียนออนไลน์สำหรับครูและนักเรียนในระดับก่อนอุดมศึกษา วิชาเรียนทางออนไลน์สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้เรียน ซึ่งมีตั้งแต่ผู้เรียนที่มองหาความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและนักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย ไปจนถึงผู้เรียนที่ต้องเรียนซ่อม การเข้าถึงวิชาเรียนทางออนไลน์เป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับนักเรียนที่กำลังมองหาทางเลือกนอกเหนือไปจาก หลักสูตรท้องถิ่น ซึ่งมีข้อจำกัดในแง่เวลาและรูปแบบการเรียน
บทเรียนวิชาทางออนไลน์ บทเรียนบทหนึ่งใช้เวลา 4 – 5 วัน (วันละ 1 คาบ) ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานรวมทั้งแผนการสอนและมีลักษณะโต้ตอบอย่างมากกับกลุ่มนักเรียนผ่านทางเว็บไซต์




การวางรากฐานที่มั่นคงในการเรียนรู้แบบสืบค้น (Inquiry Approach) ซึ่งนักเรียนเป็นศูนย์กลางและเป็นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง กำลังอยู่บนทางแพร่งที่นักการศึกษากำลังพิจารณาว่า จะยอมรับความเป็นประชาธิปไตยของความรู้ด้วยการเชื่อมต่อการเรียนรู้ในระบบและนอกระบบเข้าด้วยกันอย่างจริงจังหรือจะเพิกเฉยแล้วยอมเสี่ยงที่จะล้าสมัย และกลายเป็นเพียงโรงงานผลิตประกาศนียบัตรสำหรับการเรียนรู้แบบโต้ตอบที่เกิดขึ้นนอกโรงเรียน
คำถามจากเชอริล เลมเก


เชอริล เลมเก (2556). นวัตกรรมจากเทคโนโลยี ทักษะแห่งอนาคตใหม่: การศึกษาเพื่อศตวรรษที่ 21. พิมพ์
ครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ: บริษัทโอเพนเวิลด์ส พับลิชชิ่ง เฮาส์ จำกัด.