วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

โลกของเด็ก ๆ (The World of Childhood)





                                                                                  Professor John MacBeath : บรรยาย
                                                                                    สุริยา เผือกพันธ์ : ถอดความและเรียบเรียง


             "โลกสามมิติ โลกวิชาการ (The Academic World) โลกสังคม (The Social World) และโลกไซเบอร์ (The Cyber World)  เด็ก ๆ จะเคลื่อนไหวเรียนรู้อยู่่ทามกลางโลกทั้งสามนี้ มันเป็นความพยายามที่จะช่วยพวกเขา ให้ทำการติดต่อค้นหาความหมาย ท่ามกลางความสัมพันธ์ของเหล่าโลกดังกล่าว" 


เราจะเริ่มด้วยคำถามว่า ทุกวันนี้เราได้เรียนรู้อะไรในโรงเรียน สิ่งหนึ่งที่เราเห็นในโรงเรียนประถมศึกษาทางภาคเหนือของอังกฤษที่ครูใหญ่มักเดินไปรอบๆโรงเรียนแล้วเขาจะถามนักเรียนเสมอๆว่า วันนี้เธอได้เรียนรู้อะไร พวกเขาอาจตอบว่า เรียนวิชาเลขคณิตเกี่ยวกับการหาค่าเฉลี่ย (mean, median, mode) แล้วครูใหญ่จะโต้ตอบว่า ไม่ใช่ ฉันไม่ได้ถามเธอถึงสิ่งที่ครูสอน ฉันถามถึงสิ่งที่เธอเรียนรู้
                                                           
 วันหนึ่งระหว่างที่ผมคุยอยู่กับครูใหญ่ มีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เดินเข้ามาหาแล้วถามว่า ครูใหญ่ค่ะ วันนี้ครูใหญ่ได้เรียนอะไรมันเป็นคำถามเดียวกันที่ครูใหญ่และครูของเธอเคยถูกถามด้วยเช่นกัน เป็นที่ยอมรับว่า  ครูใหญ่และครูในโรงเรียนก็เป็นผู้เรียนด้วย

เมื่อเราพูดถึงเรื่องของเด็ก ผมต้องการพูดถึงเรื่องโลกสามมิติที่พวกเขาใช้ชีวิตและความพยายามที่ จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ระหว่างโลกทั้งสามนั้นได้แก่ โลกวิชาการ (The academic world)  โลกสังคม (The social world) และโลกไซเบอร์ (The cyber world) นั่นก็คือ โลกของอินเตอร์เน็ต โลกของการสื่อสารด้วย โทรศัพท์เคลื่อนที่ (Moblie phone)และอื่นๆ เด็กๆ จะเคลื่อนไหว เรียนรู้ท่ามกลางโลกทั่งสามนี้  แน่ล่ะ มันเป็นความพยายามที่จะช่วยพวกเขาให้ทำการติดต่อค้นหาความหมายท่ามกลางความสัมพันธ์ของเหล่าโลกดังกล่าว

เดวิด เบอร์ลิเนอร์ (David Berliner) นักวิชาการชาวอเมริกัน ที่ศึกษาถึงชีวิตงานในโลกไซเบอร์ ได้กล่าวว่า เด็ก ๆได้เรียนรู้ผ่านบริบทที่แตกต่างกัน ได้ประสบการณ์ต่าง ๆ จากอินเตอร์เน็ต


เราจะดูที่ห้องเรียนของเขาเป็นห้องเรียนที่อยู่ในโรงเรียน โรงเรียนอยู่ในชุมชนและเด็กๆ ที่อยู่ในครอบครัว  อยู่กับเพื่อนบ้านและกลุ่มเพื่อน  เขาพูดว่า แม้บริบทเหล่านี้จะสร้างทัศนคติและแรงบันดาลใจอย่างมีพลังได้มากกว่าครูของพวกเขา คำถามคือ อะไรที่เป็นประสบการณ์ที่สำคัญที่สุดที่ในตัวเด็กที่เราจะต้องคิด อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่มีผลกระทบต่อการเรียนรู้ของพวกเขา ครอบครัว เพื่อนบ้าน กลุ่มเพื่อนในโรงเรียน ครู หรือนโยบายและสิ่งแวดล้อมทางการเมือง

ผลกระทบทั้งหมดนี้ขอให้ใช้เวลาคิดสักสองสามนาทีถึงผลสะท้อนกลับเราเห็นเป็นอย่างไร ในประสบการณ์ของเรา ในประเทศ ของเรา ในบริบทของเรา อะไรสำคัญที่สุด งานวิจัยได้บอกเราไว้มากเกี่ยวกับเรื่องผลสะท้อนจากพ่อแม่ซึ่งมีอิทธิพลมาก มันเป็นพื้นฐานการเรียนรู้ของเด็ก ๆ บ่อยครั้งที่กลุ่มเพื่อนมีผลสะท้อนอย่างมาก มากกว่าพ่อแม่เสียอีก ความสัมพันธ์ระหว่างสองสิ่งเหล่านั้นในฐานะครู เราจะต้องมีความเข้าใจ และจำไว้ว่า เด็ก ๆ มีชีวิตอยู่ในเครือข่ายพวกเขา อยู่กับกลุ่มเพื่อน อยู่กับพ่อแม่และเพื่อนบ้าน  

ไม่มีที่ไหนที่จะแสดงให้เห็นได้ดีเท่ากับภาพยนตร์ ฝรั่งเศสชื่อ Entre les murs ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ ว่า Classroom  ในภาพยนตร์ได้แสดงให้เห็นถึงพลังของการเรียนรู้แบบนี้ ในเรื่องนี้ เป็นเพียงเรื่องของเพื่อนบ้านในชานเมืองปารีส ที่กล่าวถึงอิทธิพลที่เด็กสามารถเรียนรู้ ในตอนจบ เมื่อพวกเขาเข้ามาในห้องเรียน ได้แสดงให้เห็นถึงความเศร้าโศกของครูที่นั่งเหน็ดเหนื่อยอยู่หลังโต๊ะ เวลาที่ยาวนานได้หมดลงด้วยคำพูดที่ว่า ผมไม่ได้เรียนรู้อะไร ไม่สำคัญว่า เขาได้ทำงานหนักเพื่อเด็กของเขาเหล่านี้อย่างไร บ่อยครั้งที่พวกเขากลับไปหา เพื่อนบ้าน ครอบครัวและกลุ่มเพื่อนของเขา ซึ่งมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้อย่างมากในแต่ละวัน ครูต้องทำงานอย่าง หนักในความพยายามที่จะสร้างสะพานเชื่อมต่อระหว่างห้องเรียนกับบริบทต่าง ๆ 


             บาโรนเนสส์ ซูซาน กรีนฟิลด์ (Baroness Susan Greenfield) แห่งมหาวิทยาลัยออกฟอร์ด ได้ทำการวิจัยบริบทที่เด็กใช้ชีวิตอยู่ พบว่า มีอยู่ 3 บริบท นั่นคือ โรงเรียน  (School) บ้าน (Home) และโลกเสมือนจริง (Virtual world) ถ้าเราต้องการอยากจะรู้ว่าในแต่ละวันเด็กๆได้ใช้เวลามากน้อยเพียงใดกับบริบทเหล่านี้ ลองใส่ตัวเลขดู ในปีหนึ่งๆในประเทศของคุณ ไม่ว่าที่โรงเรียน ที่บ้าน และในโลกเสมือนจริง เด็ก ๆ ใช้เวลากับมันอย่างละกี่ชั่วโมง อาจขึ้นอยู่กับเครื่องมือที่พวกเขาใช้ ไม่ว่าจะโดยโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์และสื่ออื่น ๆ ของพวกเขา

                สิ่งที่ซูซาน กรีนฟิลด์พบในงานวิจัยของเธอ ที่เป็นงานวิจัยในมหาวิทยาลัยออกฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ถึงเวลาที่ใช้ในโรงเรียนเมื่อเทียบกับที่บ้านและโลกเสมือนจริง แน่ล่ะสิ่งต่างๆมันต่างจากประเทศอื่นๆ  เพียงแต่หยุดคิดสักนาที มันอาจมีค่าที่ทำให้รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างบริบทต่างๆ ต่องานการเรียนการสอน  จริง  ๆ แล้ว มันมีผล ที่ช่วยให้การสอนมีประสิทธิภาพมากกว่าไม่มีประสิทธิภาพ

มีคำถามมากขึ้นเกี่ยวกับโลกในอนาคต ลองพิจารณาดูว่ามันจริงหรือไม่ เราเตรียมตัวเด็กเข้าสู่การทำงาน แต่ยังไม่ยั่งยืน เราสอนให้ใช้เทคโนโลยีแต่ยังไม่ประดิษฐ์คิดค้น สอนให้รู้การแก้ปัญหาแต่ไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร ใช่หรือไม่ ถ้าบางอย่างเป็นจริง เราเข้าใจอย่างไรในฐานะที่เป็นครู


ฮาร์มุต วอน เฮนติก (Harmut Von Hentig) นักการศึกษาชาวเยอรมัน กล่าวถึงเด็กคนหนึ่ง ถามลุงของเขาว่า ฉันควรไปโรงเรียนหรือไม่ ทำไม คำตอบจากลุงของเขาตอบว่า ไม่ เหตุเพราะว่าเรามีเทคโนโลยี ที่สอนอะไรต่อมิอะไรได้ ในสังคมโลก ที่เด็ก ๆ สามารถพบเจอผู้คนที่มีพื้นฐานแตกต่างกัน เช่น ศาสนาต่างกัน ความสามารถต่างกัน ตอนจบเขาพูดว่า เชื่อได้เลยว่า จะวันนี้หรือวันไหน ๆ ทุกอย่างจะอยู่ที่โรงเรียนทั้งหมด  มันเป็นสถานที่ที่จะนำนักเรียนมาอยู่ร่วมกัน ที่จะช่วยพวกเขาให้เรียนรู้การมีชีวิต ในสังคมการเมืองของพวกเรามันจึงเป็นความต้องการที่แย่มาก ๆ

ท้ายสุดนี้ มีคำถาม 6 ข้อที่เราอาจต้องคิดคือ  ฉันจะฉลาดอย่างไร ฉันไม่ฉลาดแต่มีวิธีการใดที่จะฉลาด ฉันจะทำอะไรบ้างเกี่ยวกันเรียนรู้ของตนเองงานอะไรที่ดีที่สุดสำหรับฉันในฐานะผู้เรียน จุดแข็งของฉันคืออะไร จุดอ่อนของฉันคืออะไรอะไรที่จะช่วยและรักษาการเรียนรู้ของฉันกับใครที่ไหนเมื่อไหร่ที่ฉันจะเรียนรู้ให้ดีที่สุด

เดี๋ยวนี้มันยังเป็นคำถามและผมคิดว่าเด็กของเราควรได้ตั้งคำถามเหล่านี้ แต่ผมคิดว่ามันยังเป็นคำถาม ที่พวกเราจะต้องถามตัวเองด้วย คิดถึงคำถามเหล่านั้น เราจะทำอะไรต่อไปกับถามคำถาม 6 ข้ออย่างมีพลัง มันเป็นธรรมชาติของการเรียนรู้และจริง ๆ แล้วมันมีนัยยะต่อการสอนด้วย  เราจะตอบคำถามเหล่านั้นอย่างไร

........................................................................................................................................
John MacBeath is Professor Emeritus at the University of Cambridge, Director of Leadership for Learning: the Cambridge Network and Projects Director for the Centre for Commonwealth Education. Until 2000 he was Director of the Quality in Education Centre at the University of Strathclyde in Glasgow.

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559

ว่าด้วยการเป็นครู(Being a teacher)
ตามทรรศนะของจอห์น แมคบีธ


(ภาพจาก www.educ.cam.ac.uk)


                                                                         Professor John MacBeath : บรรยาย
                                                                                      สุริยา เผือกพันธ์ :  ถอดความและเรียบเรียง

ครูเป็นใคร ใครเป็นครู ?????
            อะไรคือ ตัวบ่งบอกถึงการเป็นครู ปัจจุบันเราได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นบ้าง เกี่ยวกับเรื่องการเรียนการสอน
           และในฐานะที่เราเป็นครูลองย้อนกลับไปสมัยที่เราเป็นนักเรียน ประสบการณ์ใดที่มีพลังมากที่สุดสำหรับเรา และถ้าคิดไปถึงเรื่องการสอนของพวกเรา ประสบการณ์ใดที่ทรงพลังที่สุด
            สิ่งที่จะบ่งบอกถึงการเป็นครูมีอยู่ด้วยกันแปดด้าน แต่สิ่งแรกที่จะกล่าวถึงคือ เรื่อง การวางแผน ครูจะต้องทำก่อนล่วงหน้า เพื่อบอกให้รู้ถึงวิธีการที่จะสอน  เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้  เป็นสิ่งที่จะนำไปสู่การทำให้เกิดความเข้าใจอันลึกซึ้งในสิ่งที่ครูได้สอน เป็นสิ่งที่จะนำไปสู่ความต้องการที่จะสร้างความเข้าใจ ที่แท้จริงตามที่หลักสูตรกำหนดเอาไว้ รวมทั้งการประเมินผล  อันเป็นการประเมินผลเพื่อการเรียนรู้ ประเมินผลเพื่อปรับปรุงพัฒนา เมื่อการเรียนรู้สิ้นสุดลงในแต่ละช่วงเวลา
            ดังนั้น ความแตกต่างของการประเมินผลประเภทต่าง ๆ  เราจะต้องมองให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และทำอย่างมืออาชีพ ทำอย่างไรคือ การทำอย่างมืออาชีพ และวิธีการใดที่จะจัดลำดับขั้นตอนการสอนทั้งหมดที่มีองค์ประกอบความแตกต่างกันให้สัมพันธ์กัน อันจะทำให้เราเป็นครูที่มีประสิทธิภาพ


            เราจะเริ่มจากคำถาม  3 ข้อ โดยจะไม่พูดถึงสิ่งที่เราไม่เคยสอนและไม่เคยเรียนรู้มาก่อน ดังนั้น คำถาม 3 ข้อดังกล่าวคือ อะไรที่เรารู้แล้ว อะไรที่เรายังไม่รู้และอะไรที่เราอยากจะรู้ และเมื่อเราคิดถึงผู้เรียน พวกเขาเป็นใคร อะไรคือสิ่งที่พวกเขาเคยรู้ เคยรู้สึกและเคยทำมาแล้ว
            เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เดินเข้าห้องคล้าย กระดานชนวนที่ว่างเปล่า พวกเขามากับความรู้สึก ความรู้และทักษะและในฐานะที่เป็นครู เราคิดว่าอะไรที่จะสามารถทำให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมาย จะมียุทธวิธีใดที่จะส่งเสริมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้ ดำเนินการภายใต้แนวคิดทฤษฎี
            อะไรคือ ทฤษฎีการเรียนรู้ และสิ่งสำคัญคือ อะไรคือ สิ่งที่ครูจะต้องเข้าใจและหมายมั่นปั้นมือ นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งคือ หลักสูตร อะไรคือ สิ่งที่เราจะต้องเข้าใจจากหลักสูตร มันมีความหมายอย่างไร มีวิธีการหลากหลายในการทำความเข้าใจหลักสูตรใช่ไหม อะไรคือ วิถีทางที่แตกต่างกันเหล่านั้น  และเราจะทำการเชื่อมโยงหลักสูตรที่เขียนไว้กับการพัฒนาและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างไร
ดังนั้น ถ้าเราเริ่มต้นด้วยการทำแผนเป็นสิ่งแรก ในแผนนั้นจะประกอบด้วย การกำหนดเป้าหมาย (formulating) การเน้นนักเรียนเป็นสำคัญ (engaging) แผนการสอน (planning)  การจัดการทรัพยากร (organizing) การพัฒนายุทธวิธี (developing)  การบอกถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (communicating) เป็นต้น
            ดังนั้น คำกริยาทั้ง 6 คำได้แก่ การกำหนดเป้าหมาย  การเน้นนักเรียนเป็นสำคัญ  แผนการสอน   การจัดการทรัพยากรการ พัฒนายุทธวิธีและการบอกถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน     เป็นกุญแจและหัวใจสำคัญที่ครูจะทำการสอนและประเมินผล


            ต่อไปเราจะพูดถึงจุดประสงค์ของ การประเมินผลที่แตกต่างกัน 3 วิธี คือ การประเมินเพื่อวินิจฉัย (the diagnostic purposes of assessment) การประเมินระหว่างเรียน  (the formative purposes of assessment) และการประเมินผลรวม (the summative purposes of assessment) ซึ่งทั้ง 3 วิธีมีความสำคัญในการให้ผลสะท้อนและความหมายของการสะท้อนผลนั้น
และจากนั้นจะพัฒนาความสัมพันธ์ กับคนที่เราทำงานด้วยในแต่ละวันเป็นพื้นฐาน คนเหล่านั้นคือคนที่มีความสำคัญต่อเรา เช่น  นักเรียนของเรา เพื่อนร่วมงานของเรา ครอบครัว ชุมชนรอบข้างรวมถึงผู้กำหนดนโยบายด้วย ผู้นำโรงเรียนและคนซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ภายในท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่รัฐ
อะไรคือวิธีการที่จะนำไปสู่ความเป็นครูมืออาชีพอีก เราจะรู้จักกฎเกณฑ์ทางด้านคุณธรรม ความหมายของสิ่งที่ต้องสร้าง ความรับผิดชอบของผู้บริหารตามกฎหมาย หลักปรัชญาการสอน การเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนวิชาชีพที่ร่วมแบ่งปันความคิด คุณค่าที่เราเรียนรู้จากผู้อื่น การมองหาเครื่องมือจากเพื่อน ร่วมงาน แม้กระทั่งจากนักเรียน ถึงการที่จะพัฒนาการสอนและแผนการพัฒนาวิชาชีพครูอย่างไร


            และท้ายที่สุด มีคำถามสำคัญซึ่ง โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) นักจิตวิทยาได้ถามไว้ว่า อะไร คือสิ่งที่เราต้องการจากนักเรียนของเรา
            ส่วนหนึ่งที่สำคัญที่เราเข้าใจคือ  ความรู้ (Knowing) และความสามารถ ความรู้ที่มี เป็นตัวบ่งชี้ครูที่มีมากเพียงพอที่จำทำให้เด็ก ๆ ดำรงชีวิตอยู่ได้ มันเป็นมรดกอันยิ่งใหญ่มอบให้กับคนรุ่นต่อ ๆ ไป
มีคำถามอะไร เพิ่มเติมจากนี้ เพื่อพวกเราในฐานะครูเพื่อนักเรียนอีกไหม  คิดอีกครั้ง ในสิ่งที่เราคุ้นเคย เช่น การเรียนรู้ การสอน หลักสูตรและความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเหล่านี้
ดังนั้น แม้ว่าเราจะย้อนกลับไปและมองไปที่บางสิ่งที่เราได้กล่าวมาแล้วข้างต้น พวกเราอาจคิดไปถึงสิ่งสุดท้าย  ซึ่งถามเราเป็นการเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องผลสะท้อน เกี่ยวกับการทบทวนและเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะช่วยส่งเสริม เพิ่มพูนและท้าทายความเข้าใจของพวกเรา

........................................................................................................................................................

John MacBeath is Professor Emeritus at the University of Cambridge, Director of Leadership for Learning: the Cambridge Network and Projects Director for the Centre for Commonwealth Education. Until 2000 he was Director of the Quality in Education Centre at the University of Strathclyde in Glasgow.