Professor John MacBeath :บรรยาย
สุริยา เผือกพันธ์: ถอดความและเรียบเรียง
การบรรยายในหัวข้อนี้ดูเหมือนว่า จะเป็นหัวข้อที่สำคัญของหลักสูตร
(หลักการพื้นฐานการสอนเพื่อการเรียนรู้) เพราะว่าเนื้อหาที่พูดมาก่อนหน้านี้และจะพูดต่อไปทั้งหมดไม่ได้กล่าวถึงอย่างตรงไปตรงมาหัวหน้าผู้ตรวจสอบทางการศึกษาในอังกฤษได้เขียนไว้ในหนังสือว่า ครูก็สอนไปและนักเรียนก็เรียนไป
มันคงไม่ง่ายอย่างนั้น จูดิธ วอร์เรน
ลิตเติ้ล (Judith Warren Little)
ชาวอเมริกันกล่าว เธอไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมากเพราะมันมีอะไรที่สลับซับซ้อนกว่านั้นมาก และเธอพูดและเขียนว่า เราต้องเห็นการเชื่อมโยงระหว่างความกระหายใคร่รู้และความขี้สงสัยของผู้เรียน เราต้องถามเสมอ ๆ ว่า ความสัมพันธ์ดังกล่าวนั้น เป็นไปแบบง่าย
ๆ หรือไม่ เราจะเชื่อเช่นนั้นหรือ
ความรู้แบบเหนียว (Sticky Knowledge)
ศาสตราจารย์เดวิด ฮาร์เกรีพส์ (David Hargreaves) แห่งมหาวิทยาลัยเครมบริดจ์ได้เคยเขียนไว้
หลายปีมาแล้วเกี่ยวกับความรู้แบบเหนียว (Sticky knowledge) เดี๋ยวนี้
เขาไม่ได้เชื่ออย่างนั้นแล้ว เมื่อคุณสอน ความรู้มันเพียงแค่ไปตรึงอยู่กับตัวนักเรียน
เขาพูดว่า ให้คุณนึกถึงท่อที่เชื่อมต่อคำพูดของครูไปยังหูของนักเรียนเหมือนความรู้นั้น ผ่านไปตามท่อ มันเป็นวิถีที่ยากลำบากมากในการพูดคุย
การพูดคุยที่ผ่านเลยกลายเป็นอดีต (Negotiate past) ทำให้เกิดข้อสงสัย ที่เรียกว่า
สงสัยในตนเอง (Self-doubt) เป็นความไม่ชัดเจน จนอาจพูดว่า ผมทำได้ไม่ดีในเรื่องนี้
ผมทำได้ไม่ดีในวิชาเลขคณิตและภาษาอังกฤษ ผมทำได้ไม่ดีในวิชาภาษาต่างประเทศ
การที่พูดกับตนเอง (Self talk) เช่นนี้ ทำให้คุณสรุปว่า ตนเองแย่ลง
ไม่ฉลาด แสนโง่ ไม่ฉลาดเท่ากับคนอื่น ๆ
การพูดกับตนเองและความเข้าใจผิดเช่นนี้
สำหรับนักเรียนจะสรุปและตัดสินอย่างไร ตัวอย่างเช่น
เมื่อครูวิทยาศาสตร์สอนเกี่ยวกับเรื่องปริมาณ (Volume) มันหมายถึงอะไรมันเป็นชิ้นส่วนเครื่องรับวิทยุใช่ไหมใช้ในเวลาเร่งเสียงให้ดังขึ้นหรือเปล่า และถ้าคุณไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนในความเข้าใจผิดบางอย่างนั้นเด็ก ๆ ก็จะรู้สึกเบื่อหน่ายกับเรื่องเหล่านั้น เพราะว่า บ่อยครั้งที่ การสอนอย่างนั้นมันขาดความรู้พื้นฐาน
(Prior knowledge) มาก่อน นอกเสียจากว่าเราได้รู้มาบ้างแล้ว
สังคมแห่งการเรียนรู้
เราจะเรียนอย่างไร ???
จังจ๊าค รุสโซว (Jean
Jacques Rousseau) นักเขียนชาวฝรั่งเศส ได้เขียนไว้ว่า “ฉันจะสามารถเรียนรู้ สิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างไร เมื่อฉันไม่เคยรู้เรื่องนั้น ๆ มาก่อนเลย “
ใช่
มันเป็นปริศนาที่ดำมืดใช่หรือไม่ ด้วยเราต้องการที่จะมีพื้นฐานในการสร้างความรู้ให้ฝังแน่น เพราะปทัสถานของกลุ่มเพื่อนของเรา ยังไม่ดีจริง จริง ๆ
แล้วยังต้องพยายามเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เพื่อให้ถึงจุดประสงค์ที่โรงเรียนต้องการ
ดังนั้น
ปทัสถานจากเพื่อน ๆ มีส่วนอย่างมากต่อการเรียนรู้ของเรา ในฐานะที่เป็นครู มีคำถาม 6 ข้อ ถามว่า
-นักเรียนของคุณเคยสงสัยในสติปัญญา และความสามารถของพวกเขาใช่ไหม
- พวกเขาทำให้ตนเองแย่ลงใช่หรือไม่
- พวกเขาได้รับอิทธิพลจากกลุ่มเพื่อนจากการพูดและปฏิบัติใช่ไหม
- ในฐานะที่เป็นครู ฉันต้องตระหนักในการนำความรู้พื้นฐานที่พวกเขามีมาก่อน
ฉันเข้าใจและตรวจสอบ ความเข้าใจผิดของพวกเขาก่อนการสอนใช่ไหม
-ฉันใช้วิธีที่ดีที่สุดในการสื่อสารกับพวกเขาใช่หรือไม่
ไม่ได้พูดเสมอ ๆ ไม่ได้แสดงเสมอ ๆ
ไม่ทำกิจกรรมที่จำเป็นหรือซักซ้อมเสมอ ๆ
เราต้องคิดอย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับว่า
อะไรคือวิธีที่ดีที่สุด นี่อาจมองดูบางสิ่งคล้ายกับห้องเรียนของคุณ ถึงแม้ว่าจะไม่เหมือน
แต่ในห้องเรียนนั้น เป็นโลกของเด็ก ๆ
และโลกของการเรียนรู้ทั้งหมด
หลักการพื้นฐาน 3 ประการเพื่อการเรียนรู้
มีหลักการ 3 ข้อที่เป็นพื้นฐานง่าย ๆ คือ
การเชื่อมต่อ (Connect)
การขยาย (Extend)
และความท้าทาย (Challenge)
ในการเรียนรู้ของนักเรียน อะไรคือสิ่งที่การสอนของคุณเชื่อมต่อไปถึง อะไรที่เป็นส่วนขยายของการเรียนรู้ของพวกเขา และอะไรคือสิ่งที่ท้าทายต่อความรู้เดิมของพวกเขา จะทำการเชื่อมต่อกับความรู้ใหม่นี้อย่างไรในสิ่งที่พวกเขารู้มาก่อนแล้ว ด้วยการคิดและทำให้ได้ จะสร้างสิ่งที่พวกเขาคิด
สิ่งที่เขารู้สึกและสิ่งที่พวกเขาทำอย่างไร และมันท้าทายอย่างไร นี่เป็นเพียงงานประจำสองสามอย่างของเดวิด
เปอร์กินส์
เราเคยพูดเกี่ยวกับการเชื่อมต่อ การขยาย
การท้าทาย อะไรที่ทำให้คุณกล่าวถึงมัน มันเป็นคำถามที่มีพลังไม่ใช่หรือ อะไรที่ทำให้คุณพูดอย่างนั้น อะไรที่ทำให้คุณคิด
ทำให้คุณรู้และ อะไรที่คุณยังเป็นปริศนาอยู่
คุณสามารถสร้างคำถามเกี่ยวกับบางสิ่งที่ง่าย ๆ เช่น 2 คูณ 2 เป็น 4 ไหม
อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณประหลาดใจ
และต่อมาสิ่งที่เป็นยุทธวิธีที่สำคัญในห้องเรียนก็คือ
การคิด (Think)
การจับคู่ (Pair)
การแบ่งปัน (Share) เมื่อถามคำถาม อย่าให้มีใครยกมือตอบ
ให้ช่วยกันคิดก่อน แล้วจับคู่กับคนอื่น ๆ จากนั้นให้แบ่งปันความคิด สุดท้ายเราจะจัดระเบียบวิธีการตอบคำถามให้ ทุกคนได้เรียนรู้
การเรียนรู้ทั้งหมดเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (Social)
เป็นอารมณ์ (Emotional) เป็นการใช้สติปัญญา (Intellectual) ด้วยการเปิดใจ เราจะทำให้นักเรียนร่วมกันคิด
ร่วมกันมีความรู้สึกและร่วมกันปฏิบัติได้อย่างไร
เกรแฮม กรีน (Graham
Greene) กล่าวไว้ในหนังสือ “The Power and the Glory” เขาพูดถึงวินาทีที่สำคัญของเด็ก ๆ เมื่อประตูแห่งโอกาสได้เปิดออกและเชื้อเชิญพวกเขาเข้าไปสู่โลกแห่งอนาคต เวลาที่เหมาะสมจะเป็นเวลาที่สามารถสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสามารถในการเรียนรู้ตรงจุดเน้น จะมีความเป็นไปได้ “เป็นนาทีทองของการสอน” ถ้าเราไม่มีนาทีทองของการสอนการเรียนรู้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้
ในเรื่องนี้ ในปี 1952 โรเบริ์ต ฮาไวเฮริสต์ (Robert
Havihurst) นำไปใช้ในงานสัมมนาบ่อย ๆ
เกี่ยวกับธรรมชาติการเรียนรู้และการพัฒนามนุษย์ (The nature of human
development and learning)
ขอให้ย้อนกลับไปที่คำถามในตอนต้นอีกครั้ง
ที่ถามโดยจูดิธ วอร์เรน ลิตเติ้ล เราต้องเห็นการเชื่อมต่อระหว่างความกระหายใคร่รู้และความขี้สงสัยของผู้เรียน เราจะรู้อย่างไร และเราจะสามารถทำให้ครูรู้ได้อย่างไรว่าในหัวของเด็กมีอะไร
จริง
ๆ พวกเขามีสมาธิ คิดเกี่ยวกับสิ่งที่ครูพยายามก้าวข้ามหรือคิดเรื่องอื่น ๆ
อยู่หรือไม่ เช่นพวกเขา กำลังจะไปไหน จะทำอะไร มีอะไรหรือกินอะไรหรือไม่หลังเลิกเรียน
หรือพวกเขากำลังจะไปทำอะไรกับ เพื่อนหรือไม่ เมื่อโรงเรียนเลิก มันเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่เราไม่รู้... แล้วเราทำให้รู้ได้ไหม
และนั่นทำไม ไมฮาล ซสิกสเซนต์ไมฮาลีอิ (Mihaly Csikszentmihalyi) นักจิตวิทยาชาวฮังการี จึงพยายามบอกว่า ถ้าคุณอยากรู้ คุณสามารถไปหาอ่านหนังสือหรือคัดย่อมาจากหนังสือของเขาได้
หนังสือ ชื่อ Flow เป็นแนวคิดที่อธิบายว่า เวลาของเด็ก ๆ ที่สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ได้สูงจริง
ๆ ของเขา และเวลา อื่นที่พวกเขามีความคับข้องใจ เบื่อหรือวิตกกังวล เขาเรียกสิ่งประดิษฐ์นี้ว่า Spot Check
Spot Check
และมันเป็นวิธีที่แสนจะธรรมดามากที่เด็กส่งกระดาษให้พร้อมกับจำนวนของประโยคในนั้น
และให้ ครูอาจหยุดและพูดในจังหวะนั้นแล้วเติมเครื่องหมาย (spot check) ลงไปด้านซ้ายมือ ถ้าคุณหยุด พิจารณาใน จังหวะนั้นให้ 1 คะแนน
ถ้าคุณหยุดคิดแต่คิดถึงสิ่งอื่น ๆ ให้ 3 คะแนน
และในฐานะที่คุณทำต่อไปในรายการนั้น
คุณตื่นตัว (Alert) ง่วงนอน (Drowsy)
ผ่อนคลาย (Relaxed) วิตกกังวล (Anxious)
ปรารถนา (Wishing)
ที่จะอยู่ที่นี่ ( wishing to be here ) ปรารถนาที่จะไปอยู่ที่อื่น
ๆ บางแห่ง(wishing
to be somewhere else) มีความสุข (Happy) เศร้า (Sad) รุก
(Active ) ตั้งรับ (Passive) ตื่นเต้น
(Excited) เบื่อหน่าย (Bored)
มันเป็นเวลาที่ผ่านไปเร็วมากหรือช้ามากหรือไม่
และสิ่งที่เราได้เรียนจากกิจกรรมนี้ เมื่อใช้เป็นเครื่องมือ
บ่อยครั้งที่พวกเขาค้นพบกรอบเวลาของพวกเขา กรอบเวลาของนักเรียนไม่เหมือนกัน เวลาอาจผ่านไปเร็วมากสำหรับพวกเขา
แต่เวลาของนักเรียนไม่จำเป็น ต้องเหมือนครู
มันอาจไม่เป็นการกระทำที่น่าตื่นเต้นเหมือนกันเมื่อใช้กับห้องเรียนขนาดใหญ่
เพราะมันเหมาะสำหรับใช้กับกลุ่มนักเรียนขนาด 10 คน
ที่อาจใช้เวลาเพียงหนึ่งหรือสองนาทีในห้องเรียนและตัวครูอาจใช้เวลาเท่า ๆกัน เช่นกัน และเมื่อมีการเปรียบเทียบประเภทต่าง ๆ มันสามารถท้าทายและเป็นประโยชน์ในการคิดถึงสิ่งจะทำให้แตกต่างจากเดิมในอนาคตข้างหน้า แล้วนำมาอภิปรายกับเพื่อน
ๆ ของพวกเขา
มันอยู่ตรงไหน เมื่อไหร่ ที่คุณจะมีส่วนร่วมมากที่สุด
ตื่นเต้นที่สุดและใช้เวลามากที่สุด จริง ๆ เราจะพบว่าเวลามันผ่านไปรวดเร็วมาก
Spot Check มีความเป็นไปได้ในการนำไปใช้ แต่ต้องคิดว่า
คุณอาจใช้กับนักเรียนทั้งห้องหรือ กลุ่มตัวอย่างในชั้นเรียนหรือไม่ เพราะมันสามารถให้ผลมากจากประโยชน์ข้อมูล ไม่เพียงเท่านั้นคุณอาจใช้มันร่วมกับครูคนอื่น ๆ ในโรงเรียนด้วย แม้ว่าครูจะสอนต่างวิชาหรือต่างห้อง
และคุณอาจใช้ร่วมกับเพื่อนที่เรียนด้วยกันในหลักสูตรนี้ก็ได้
เมื่อคุณเข้าร่วมประชุมและให้ครูใช้เครื่องมือเดียวกันนี้
จะสามารถใช้เป็นพื้นฐานในการกระตุ้นให้มีการสนทนาได้เป็นอย่างดี
...............................................................................................................................................................
John MacBeath is Professor Emeritus at the University of Cambridge,
Director of Leadership for Learning: the Cambridge Network and Projects
Director for the Centre for Commonwealth Education. Until 2000 he was Director
of the Quality in Education Centre at the University of Strathclyde in Glasgow.